Page 17 - เล่มรายงานการจัดการความรู้ด้านงานวิจัย 63
P. 17
17
KMวิจัย_63“การตีพิมพ์ผลงานวิจัยทางวิชาชีพ”
จ านวน 2 เรื่อง, โปสเตอร์ และเขียนทบทวนวรรณกรรมที่รวมกันทั้ง 2 โรคข้างต้นเปน E-book จ านวน 1 เรื่อง (การ
็
ประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยกับการดูแลสุขภาพตามบริบทสุขภาวะปัจจุบัน, 2563)
2) ดร.พทป.วัชระ ด ำจุติ บรรยำยและแชร์ประสบกำรณ์ “การสร้างเครือข่ายงานวิจัยในวิชาชีพ สู่การ
เผยแพร่ในระดับนานาชาติ”
การท าวิจัยทางวิชาชีพแพทย์แผนไทยหรือการท าวิจัยเชิงประยุกต์ อาจารย์สามารถน างานประจ าที่สอน อาทิ
นักศึกษาลงพื้นที่ในชุมชนเพื่อเก็บประวัติการรักษา ขั้นตอนหรือท่าทางการนวด หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือปัญหา
พิเศษ เป็นงานวิจัยเชิง mini project R2R สามารถเขียนเพื่อตีพิมพ์ผลงานดังกล่าวได้ แต่ต้องสามารถอธิบายความหมาย
กลไก ตัวชี้วัด การวิเคราะห์ทางสถิติ และการอภิปรายผล (discussion) อย่างละเอียด เพื่อดึงความน่าสนใจจากวารสาร
(Journal) ในการค้นพบยาและพัฒนายา (drug discovery and development) ต้องผ่านขั้นตอนการวิจัยเบื้องต้นและ
พัฒนายาก่อนทางคลินิก (หาสูตรโครงสร้างของยา กลไกการออกฤทธิ์ วิจัยในสัตว์ทดลอง และพิษวิทยา) สู่การวิจัยและ
พัฒนายาทางคลินิก (วิจัยในมนุษย์) ตามล าดับ ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) มีข้อก าหนดว่ายาที่มี long time
wisdom นานๆสามารถข้ามไปท าวิจัยทางคลินิก (clinical research) ก่อน และศึกษาย้อนกลับไปหากลไกการออกฤทธิ์
(mechanism of action) ซึ่งเรียกว่า reverse pharmacology ในปัจจุบันรูปแบบของงานวิจัย มี 4 รูปแบบ คือ
1. การวิจัยแบบพหุวิทยาการ (multidisciplinary research) ท าวิจัยร่วมกัน เรื่องเดียวกัน คนละสาขากัน
2. การวิจัยแบบเอกวิทยาการ (monodisciplinary research) ท าคนเดียว ไม่เกิดการแลกเปลี่ยน
3. การวิจัยแบบเปลี่ยนผ่านวิทยาการ (transdisciplinary research) ความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่แตกต่าง
กัน ร่วมกันศึกษาหาค าตอบในปัญหาวิจัยเดียวกัน
4. การวิจัยแบบข้ามวิทยาการ (cross-disciplinary research) น าความรู้จากสาขาวิชาหนึ่งมาใช้ศึกษาอธิบาย
ตีความการวิจัยหรือผลการวิจัยที่กระท าในอีกสาขาหนึ่ง สามารถ cross การท างานกันได้
จากประสบการณ์เริ่มสร้างเครือข่ายตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาโทที่เมืองจีน งานวิจัยแรกที่ท าร่วมกับคนอื่นเป็น
เพื่อนอาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิตที่ไปเรียนต่อปริญญาเอกซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการวัดผลและดร.วัชระ เองมีความ
เชี่ยวชาญในด้านการผ่าตัด (surgery) สัตว์ทดลอง จึงเกิดการสร้างงานวิจัยใหม่และน าไปสู่การตีพิมพ์ผลงานร่วมกัน เมื่อ
เรียนจบก็สร้างเครือข่ายจากเพื่อนและยังคงติดต่อกัน ต่อมาท าวิจัยร่วมกับดร.จุไรรัตน์ บุญรวบ (อาจารย์คลินิกแพทย์แผน
ไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เป็นงานวิจัยเปรียบเทียบระหว่าง hot herbal complete
(ลูกประคบ) กับ hot complete (ผ้าร้อนธรรมดา) และ topical diclofenac ยาแก้ปวดธรรมดา ท าวิจัยแบ่งเป็น 2
ประเด็นคือ 1) ประคบเหมือนกัน ใช้ตัวชี้วัด 2 ตัว คือประเมินความเจ็บปวด กับ quality of life คุณภาพชีวิตของคน
ป่วยดีขึ้นไหม (The distinction of hot herbal compress, hot compress, and topical diclofenac as myofascial
pain syndrome treatment. Journal of evidence-base Integrative Medicine. 2018; 23:1-8) 2) ประคบผู้ป่วย
เป็นโรค myofascial pain syndrome อาการปวดบ่าปวดไหล่ โดยใช้ตัวชี้วัดคือ ประเมินความเจ็บปวด กับ พิสัยการ
)
เคลื่อนไหวของคอ (cervical range of motion (Effectiveness of hot herbal compress versus topical
.
diclofenac in treating patients with myofascial pain syndrome Journal of Traditional and
Complementary Medicine. 2019; 9: 163-167) ผลงานต่างๆที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากการสร้างเครือข่ายการท าวิจัย ท า
ให้สามารถสร้างหรือพัฒนาผลงานวิจัยที่มีความน่าสนใจ ให้มีมุมมองหลากหลายด้านและสามารถตีพิมพ์ผลงานในวารสาร
ระดับนานาชาติที่มี impact factor สูงขึ้น จาก TCI< Q4< Q3< Q2< Q1

