Page 163 - สาราสารกถา พระธรรมพุทธิมงคล เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร จังหวัดสุพรรณบุรี.
P. 163
120
สาราสารกถา
ทีน้มีปัญหาว่า เราจะเอาบารมีตัวไหนนา มันเหมือน
ี
�
อย่างกับว่าพระเจ้าสิบชาติ เกิดมาแต่ละชาติๆ ชาติน้เอาบารมีน ้ ี
ี
ั
�
นา ชาติน้นเอาบารมีโน้นนา อย่างเราก็เหมือนกัน อย่างไหนเป็น
�
�
ื
ั
�
ตัวนา? บางคร้งเราเอาศีลเป็นตัวนา เอาอย่างอ่นเป็นตัวตาม
บางคร้งเอาเนกขัมมะเป็นตัวนา เอาอย่างอ่นเป็นตัวตาม แต่
ั
ื
�
ั
มันก็ต้องครบท้งหมด แต่เราจะรู้ว่าครบหรือไม่ครบ เราก็ต้อง
รู้บารมีของเรา บารมีมีอะไรบ้าง? มีทาน เราต้องนึกว่า อันไหน
เป็นทาน ท่เราท�ากันทุกวันน้น อันไหนเป็นทาน อันไหนเป็นศีล
ั
ี
อันไหนเป็นเนกขัมมะ อันไหนเป็นปัญญา อันไหนเป็นวิริยะ
อันไหนเป็นขันติ อันไหนเป็นสัจจะ อันไหนเป็นอธิษฐาน อันไหน
ื
เป็นเมตตา อันไหนเป็นอุเบกขา แล้วเราก็จะปล้มใจ เราสะสม
ไปทีละน้อยๆ ก็คือความดีนั่นเอง
้
ความดีที่เราสะสมไว้ๆ สะสมไวเรื่อยๆ จนมันมาก พอที่
�
จะสาเร็จประโยชน์ได้ เราเรียกว่า บารมี เหมือนเราเก็บสตางค์
็
ื
้
็
ั
้
ไว้วนละบาท ปีหนงกได้ ๓๖๕ บาท กพอจะซ้อเสอซอผ้าได้
ื
ื
ึ
่
ี
�
ใช่ไหม? น่แหละบารมี เราสะสมไว้มากๆ มันให้สาเร็จประโยชน์
ี
ั
อย่างน้ เหมือนเราสะสมทรพย์สินเงินทองแต่ละอย่างๆ มัน
ี
�
ี
ก็เหมือนกัน พอมันได้กาลังท่จะให้ผลเต็มท่ มันก็ให้ผลเลย
้
ี
ี
่
ู
กหวงว่า ทพดมาเกยวกบเรองสร้างบารมน โยมคงจะเข้าใจ
็
ั
่
ื
ี
่
ี
ั
แล้วก็ไปเลือกสรร ประพฤติ ปฏิบัติกันตามกาล ตามโอกาส

