Page 4 - รูปเล่มงานวิจัย WCL MODEL
P. 4
บทคัดย่อ
จากการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอน ในส่วนของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (รายวิชาแนะ
แนว) พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ ยังไม่รู้จักตนเอง ว่าชอบหรือถนัดในสิ่งใด มีความสามารถในด้านไหน
จะเลือกเรียนต่อแผนการเรียนอะไร สายสามัญ หรือสายอาชีพ แล้วแผนการเรียนนั้น สามารถต่อยอด
ไปต่อในระดับอุดมศึกษาได้อย่างไร และเมื่อจบการศึกษามาแล้วจะสามารถประกอบอาชีพอะไรได้
การทำงานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อพัฒนาสื่อ และนวัตกรรม ในการจัดการเรียน
การสอนของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สำหรับเป็นแนวทางในการเลือกแผนการเรียน การศึกษาต่อใน
ุ
ระดับอดมศึกษา และการประกอบอาชีพในอนาคต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมัธยม
วัดดอนตูม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมี จำนวน 92 คน โดยแบ่งการศึกษาแบ่ง
ออกเป็น 3 ส่วนดังนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจ การวิเคราะห์
ข้อมูลระดับความพึงพอใจต่อการให้บริการ การนำเสนอข้อเสนอแนะและความคิดเห็นเกี่ยวกับ
นวัตกรรมการเรียนรู้ โดย W.C.L. MODEL จะเปรียบเสมือนเข็มทิศ ที่คอยชี้แนะแนวทางในการเลือก
เส้นทางของนักเรียน ให้เป็นไปตามความถนัดและความสามารถ อีกทั้งยังช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบสิ่งที่
ตนเองต้องการ และสามารถเลือกเส้นทางเดินที่ดีที่สุดของตนเองได้ โดยมีผลที่ได้จากการศึกษามีดังนี้
ผลการวิจัยในส่วนของด้านการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบประเมินความพึงพอใจ
ด้านการวิเคราะห์ลักษณะโดยทั่วไปของกลุ่มประชากร ในส่วนของ เพศ ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล
เกี่ยวกับเพศพบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมวัดดอนตูม จำนวน 92 คน เป็นเพศ
ชายจำนวน 53 คน คิดเป็นร้อยละ 53.0 และเป็นเพศหญิง จำนวน 39 คน คิดเป็นร้อยละ 39.0
ผลการวิจัยในส่วนของด้านการวิเคราะห์ข้อมูลระดับความพึงพอใจต่อการให้บริการ
ผลการวิจัยในส่วนของด้านขั้นตอนการให้บริการมีความเหมาะสม คล่องตัว เข้าใจง่าย โดยกลุ่ม
ตัวอย่างร้อยละ 100.00 เห็นด้วยมากที่สุด มีผลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อการความน่าสนใจของ
นักเรียน โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 5.00 อยู๋ในเกณฑ์มากที่สุดผลการวิจัยในส่วนของด้านช่องทางการติดต่อที่
สะดวก เหมาะสม เช่น โทรศัพท์ เว็บสำนักงาน เครือข่ายสังคมออนไลน์ เป็นต้น โดยกลุ่มตัวอย่างร้อย
ละ 92.39 เห็นด้วยมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 4.35 เห็นด้วยมาก อีกทั้งร้อยละ 0.00 เห็นด้วยปาน
กลาง และร้อยละ 1.09 เห็นด้วยน้อย มีผลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อการติดต่อหาข้อมูลต่างๆ เกี่ยว
อาชีพที่นักเรียนสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 4.82 อยู๋ในเกณฑ์มากที่สุด
ผลการวิจัยในส่วนของด้านระยะเวลาในการให้บริการเหมาะสม โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 85.87 เห็น
ด้วยมากที่สุด ร้อยละ 10.87 เห็นด้วยมาก ในขณะที่ร้อยละ 2.17 เห็นด้วยปานกลาง อีกทั้งร้อยละ
1.09 เห็นด้วยน้อย เนื่องจากระยะเวลาในการให้บริการเหมาะสม มีผลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อความ
เข้าใจให้กับนักเรียน เพิ่มมากขึ้น โดยรวมมีค่าเฉลี่ย 4.82 อยู๋ในเกณฑ์มากที่สุด ผลการวิจัยในส่วนของ
ด้านผู้ให้บริการมีบุคลิกภาพที่ดี และใส่ใจในการให้บริการความรู้อย่างชัดเจน โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ

