Page 1 - อะตอมและตารางธาตุ
P. 1
1
บทที่ 1 อะตอมและตารางธาตุ
1. ววัฒนาการแบบจ าลองอะตอมและการทดลองเกี่ยวกับแบบจ าลองอะตอม
ิ
ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตศักราช นักปราชญ์ชาวกรีกชื่อ ดิโมเครตุส (Democritus) และลาซิปปุส
(Leucippus) เชื่อว่าเมื่อย่อยสารลงไปเรื่อยๆจะได้ส่วนที่เล็กที่ที่สุดซึ่งไม่สามารถแบ่งให้เล็กลงได้อีก เรียกว่า
“อะตอม” (Atom มาจากภาษากรีกค าว่า Atomos ,A = Not = ไม่ ,Tomos = To cut = ตัด,แบ่ง) หมายถึง
สิ่งที่ไม่สามารถแบ่งได้อีก
จนกระทั่งต่อมาในปี ค.ศ. 1808 นักวิทยาศาสตร์ชาวองกฤษ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับอะตอมซึ่ง
ั
สามารถสรุปได้ดังนี้
1. สสารประกอบด้วยส่วนที่เล็กที่สุดเรียกว่า “อะตอม” (เป็นค าเดียวกันกับดิโมเครตุส)
2. อะตอมเป็นทรงกลมตัน ที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก
3. อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะเหมือน และอะตอมของธาตุต่างชนิดจะต่างกัน
4. เมื่ออะตอมของธาตุตั้งแต่ 2 ขนิดขึ้นไปมารวมตัวกันเป็นสารประกอบ จะมีสัดส่วนการรวมตัวเป็นลง
ตัวอย่างง่าย เช่น H O , CO เรียกว่ากฎสัดส่วนคงท ี่
2
2
5. อะตอมจะสร้างขึ้นใหม่หรือท าลายอะตอมให้หายไปไม่ได้
ภาพที่ 1 แบบจ าลองอะตอมของจอห์น ดอลตัน
ในปี 1898 เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน (Sir Joseph John Thomson) นักฟิสิกส์ชาวองกฤษ ได้ท าการ
ั
ทดลองโดยดัดแปลงหลอดรังสีแคโทดของวิลเลี่ยม ครูกส์ พบว่าเมื่อท าให้หลอดอยุ่ในภาวะสุญญากาศ ความ
้
ั
-6
ดันภายในหลอดต่ า(ประมาณ 10 atm) ความต่างศกย์ไฟฟาสูง(ประมาณ 10,000 โวลต์) และฉาบฉากเรือง
แสงที่ขั้วของหลอด(ZnS) จะสังเกตว่ามีการไหลของกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นโดยมีทิศทางการไหลจากขั้วแคโทด
และจะทะลุผ่านขั้วของแอโนดไปกระทบกับฉากเรืองแสงท าให้มีแสงสว่างเกิดขึ้น โดยปกตอรังสีแคโทดจะ
เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่ถ้าอยู่ในสนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้าจะเบี่ยงเบนไปทางขั้วบวกของสนามแม่เหล็ก
และสนามไฟฟ้า ทอมสันจึงสรุปว่า รังสีแคโทดประกอบด้วยอนุภาคลบ
ิ
์
เคมี 1 อะตอมและตารางธาต โดยนายวชรนทร เลาะหะนะ
ุ
ั

