Page 141 - sc 21001
P. 141
133
้
้
ึ
ิ
้
อากาศในก้อนเมฆมีความแปรผันมาก มีการหมุนเวียนของกระแสอากาศข นลง เกดฟาแลบ ฟารอง
็
รวมทั งอาจมีลูกเหบตกด้วยเชนกัน
่
5.1.3 ระยะสลายตัว (Dissipating Stage) เปนระยะสดท้ายเมื อศูนย์กลางพายุจมตัวลงใกล้
็
ุ
็
ิ
พื นดน รปทรงของเมฆจะเปลี ยนจากเมฆควมูโลนมบัส (Cumulonimbus) เปนเมฆอัลโตสเตรตัส
ิ
ู
ิ
ุ
ี
(Altostratus) หรอ เมฆซโรคิวมูลัส (Cirrocumulus) ฝนจะเบาบางและหายไปในทสด
ี
ื
อย่างไรก็ตามการเกดพายุฝนฟาคะนองดังกล่าว หากมีศูนย์กลางพายุหลายศูนย์กลางจะทํา
้
ิ
ให้เกดพายุฝนฟาคะนองยาวนานมาก และเกดกระแสอากาศทรนแรงมากจนสามารถทําให้เกดลูกเหบ
็
ี
ุ
ิ
้
ิ
ิ
้
่
ได้ ชวงเวลาของการเกิดพายุฝนฟาคะนองประมาณ 1 - 2 ชั วโมง
้
5.2 ชนิดของพายุฝนฟาคะนอง
5.2.1 พายุฝนฟาคะนองพาความรอน (Convectional Thunderstorm) เปนพายุฝนทเกด
ี
็
ิ
้
้
ู
้
จากการพาความรอน ซงมวลอากาศอุ่นลอยตัวสงข นทําให้อุณหภูมิของอากาศเย็นลง ไอนํ าจะกลั นตัว
ึ
ึ
ั
กลายเปนเมฆควมูโลนมบัส (Cumulonimbus) และเกดเปนพายุฝนฟาคะนอง มักเกิดเนองจากโลกได้รบ
ิ
ิ
็
ิ
็
ื
้
ิ
ิ
ิ
ู
็
ึ
ิ
ิ
้
ึ
ิ
้
ความรอนจากดวงอาทตย์ ทําให้พื นดนรอนข นมาก อากาศบรเวณพื นดนจะลอยสงข นเกดเปนเมฆควมู
ิ
่
ี
้
่
โลนมบัส (Cumulonimbus) มักเกิดในชวงบายและเย็นในวันทอากาศรอนจัด
ิ
ี
5.2.2 พายุฝนฟาคะนองภูเขา (Orographic Thunderstorm) เกดจากการทมวลอากาศอุ่น
้
เคลื อนทไปปะทะกับภูเขา ขณะทมวลอากาศเคลื อนทไปตามลาดเขาอากาศจะเย็นตัวลง ไอนํ ากลั นตัว
ี
ี
ี
ี
ิ
ิ
กลายเปนเมฆควมูโลนมบัส (Cumulonimbus) ทําให้เกดลักษณะของฝนปะทะหน้าเขา พายุลักษณะน จะ
ิ
็
ิ
ู
เกดบรเวณต้นลมของภูเขา เมฆจะก่อตัวในแนวตั งสงมาก ทําให้ลักษณะอากาศแปรปรวนมาก
ิ
ิ
5.2.3. พายุฝนฟาคะนองแนวปะทะ (Frontal Thunderstorm) เกดจากการปะทะกันของ
้
มวลอากาศ มักเกิดจากการปะทะของมวลอากาศเย็นมากกว่า มวลอากาศอุ่น มวลอากาศอุ่นจะถูกดันให้
ิ
็
ยกตัวลอยสงข น ไอนํ ากลั นตัวกลายเปนเมฆควมูโลนมบัส (Cumulonimbus) และเกดเปนพายุฝนฟา
ู
้
ิ
ึ
ิ
็
ี
ี
คะนองแนวปะทะอากาศเย็นอากาศเย็นมวลอากาศอุ่นเคลื อนทไป การเคลื อนทมาปะทะกันของปะทะ
้
ิ
ภูเขา มวลอากาศอุ่นและเย็น ทําให้เกดพายุฝนฟาคะนอง
5.3 ปรากฏการณที เกิดจากพายุฝนฟาคะนอง
์
้
้
ขณะเกดพายุฝนฟาคะนองจะเกดฟาแลบ ฟารอง ฟาผ่า ลูกเหบตก มีลมกระโชกแรงเปน
็
ิ
้
ิ
็
้
้
้
ั
ิ
ิ
้
คร งคราว โดยในรอบ 1 ป ทั วโลกมีพายุฝนฟาคะนองเกดขึ นถึง 16 ล้านครั ง โดยเฉพาะในเขตละตจูดสง
ู
ี
ิ
่
ั
้
ี
ี
และในเมืองทอากาศรอนช นจะมีจํานวนวันทมีพายุฝนฟาคะนองเกดได้ถึง 80 - 160 วันตอป สําหรบ
ื
้
ี
้
ประเทศไทยมักเกิดมากในเดอน เมษายน - เดอนพฤษภาคม เปนชวงทเกดพายุฝนฟาคะนองมากทสด
ุ
ี
ื
ี
็
่
ื
ิ
้
5.3.1 การเกิดฟาแลบ เกดขึ นพรอมกับฟารอง แตมนษย์เรามองเหนฟาแลบกอนได้ยินเสยง
้
ิ
่
ี
้
้
ุ
็
่
้
็
่
ี
ี
ิ
ี
้
้
็
ิ
ื
ฟารอง เนองจากแสงเดนทางเรวกว่าเสยง (แสงมีอัตราเรว 300,000 กโลเมตร/วินาท สวนเสยง
ู
็
ิ
ัง
้
มีอัตราเรว 1/3 ของแสง) ประกายไฟฟาของฟาแลบ 1 คร มีปรมาณไฟฟาจํานวนสงถึง 200,000
้
้
์
้
ิ
แอมแปร และมีความตางศักย์ถึง 30 ล้านโวลต์ ฟาแลบเกดจากประจไฟฟาเคลื อนทจากก้อนเมฆส ่ ู
ี
่
ุ
้

