Page 77 - หนังสือกฐินวัดกัลยาณมิตร 5-10-2563
P. 77
�
ึ
�
สนับสนุนให้มีการต่อเรือข้นอีกเป็นจานวนมาก ทรงมีเรือกาปั่นพาณิชย์ประมาณ ๑๑
– ๑๓ ล�า และเรือก�าปั่นของขุนนางที่สาคัญอีก ๖ ล�า แต่เดิมเราใช้เรือส�าเภาแบบจีน
ื
ิ
�
จนมาถึงรัชสมัยของของพระองค์ เรือสาเภาแบบจีนเร่มหมดความนิยม เน่องจากเรือ
ก�าปั่นแบบฝรั่งมีคุณสมบัติดีกว่า
ิ
ั
ดังน้นใน พ.ศ.๒๓๗๘ อู่เรือหลวงจึงเร่มหันมาต่อเรือแบบกาปั่นฝร่งด้วย ทว่า
�
ั
�
เวลาน้นยังคงต้องใช้เรือสาเภาทาการค้าขายทางทะเลกับจีนอยู่มาก อู่เรือไทยจึงแก้
ั
�
ปัญหาด้วยการต่อเรือให้หัวเรือมีลักษณะเป็นเรือสาเภา ส่วนท้ายเรือเป็นเรือกาปั่น เรียก
�
�
ว่า “เรือก�าปั่นบ๊วย”
ี
�
้
ั
อู่ต่อเรือในสมัยรัชกาลท่ ๓ มักต้งอยู่ริมแม่นาเจ้าพระยาเป็นหลัก โดยขุดเป็น
ี
ี
ื
้
�
แอ่งนาเข้าไปจากฝั่งแม่นา พ้นท่ของอู่เป็นดินโคลนอย่างท่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า MUD
้
�
ี
DOCK อย่างไรก็ตาม แม้เป็นเพียงอู่เรือแบบง่ายๆ แต่อู่เหล่าน้ก็ได้ซ่อมสร้างเรือรบและ
ึ
เรือสินค้าข้นเป็นจานวนมาก ซ่งเป็นกาลังหลักในการสร้างสมุททานุภาพให้แก่พระองค์
�
�
ึ
ท่าน เป็นท่น่าสังเกตว่า เรือรบท่ต่อข้นมาสมัยนั้น ส่วนใหญ่ต่อมาจากอู่เรือทางฝั่งธนบุร ี
ึ
ี
ี
ได้แก่ คลองสาน ทั้งนี้เนื่องจากว่า ผู้บังคับบัญชาทหารเรือที่เป็นก�าลังหลักในการสร้าง
ั
ิ
สมุททานุภาพให้กับพระองค์ท่านล้วนพักอาศัยอยู่แถบฝั่งธนบุรีท้งส้น เช่น กรมขุนอิศเรศ
รังสรรค์ (ต่อมา คือ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ประทับอยู่ ณ พระราชวัง
เดิม กรุงธนบุรี และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อด�ารงต�า
แหน่งจมื่นไวยวรนาถ ซึ่งทั้งสองท่านนี้ เป็นก�าลังส�าคัญในการซ่อมสร้างเรือ และเป็น
ผู้น�าทัพเรือไปรบญวน
75
������������������������ 2563 ������������.indd 75 21/10/2563 BE 13:44

