Page 10 - การค้าระหว่างประเทศ
P. 10
11.8 ดุลกำรค้ำและดุลกำรช ำระเงินระหว่ำงประเทศ
ดุลกำรค้ำ (Balance of Trade)
ได้แก่ การเปรียบเทียบมูลค่าของสินค้าที่ประเทศหนึ่งส่งออกขาย (export) ให้ประเทศอื่น ๆ กับมูลค่าของ
สินค้าที่ประเทศนั้นสั่งซื้อเข้ามาจ าหน่ายว่ามากน้อยต่างกันเท่าไรในระยะ 1 ปี เพื่อเปรียบเทียบว่าตนได้เปรียบหรือ
เสียเปรียบ (net export = export - import)
ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยส่งสินค้าออกหลายประเภทไปขายยังประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ และอีก
หลายประเทศ มีมูลค่ารวมกัน 589,813 ล้านบาท ในปี พ.ศ.2533 และในปีเดียวกันก็ได้สั่งสินค้าเข้าจากประเทศ
ต่าง ๆ มีมูลค่า 844,448 ล้านบาท เมื่อน ามาเปรียบเทียบกันจะท าให้ทราบได้ว่าได้เปรียบหรือเสียเปรียบดุลการค้า
ในการเปรียบเทียบนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. ดุลการค้าได้เปรียบ หรือเกินดุล ได้แก่การที่ประเทศหนึ่งส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศมีมูลค่า
มากกว่าสั่งสินค้าเข้ามาอุปโภคบริโภค
2. ดุลการค้าเสียเปรียบ หรือขาดดุล ได้แก่การที่ประเทศหนึ่งส่งสินค้าไปขายยังต่างประเทศ มีมูลค่า
น้อยกว่าที่สั่งสินค้าเข้ามาอุปโภคบริโภค
3.ดุลการค้าสมดุล ไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน หรือเท่ากันมีผลลบเป็นศูนย์กล่าวคือมูลค่าสินค้าเข้า
เท่ากับมูลค่าสินค้าส่งออก
โดยทั่วไปการใช้ดุลการค้าเพียงอย่างเดียวอาจไม่ท าให้ทราบฐานะที่แท้จริงของประเทศได้ กล่าวคือ
ดุลการค้าที่เสียเปรียบนั้น อาจไม่เป็นผลเสียใด ๆ ต่อประเทศก็ได้ เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับดุลการค้านั้นจะไม่รวมถึง
การน าเข้าสินค้าบางชนิด ที่ไม่ต้องช าระเป็นเงินตราต่างประเทศก็ได้เนื่องมาจากสินค้าชนิดนั้นจะมาจากการบริจาค
ช่วยเหลือ ถ้าน าเอารายการนี้มาหักออกอาจท าให้ดุลการค้าลดลงหรือการคิดราคาสินค้าเข้าและสินค้าออกต่างกัน
กล่าวคือขณะที่สินค้าเข้ารวมมูลค่าขนส่งและการประกันภัย แต่สินค้าออกไม่ได้รวมไว้ หรือการสั่งสินค้าประเภททุน
เช่น เครื่องจักรกลเข้ามาท าการผลิตสินค้า ดูเหมือนว่าจะท าให้เสียเปรียบดุลการค้าก็จริง แต่ในระยะยาวแล้วเมื่อมี
การผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก โดยสินค้านั้นอาจท าให้ได้เปรียบดุลการค้าในระยะยาว
ประเทศที่ดุลการค้าได้เปรียบถือว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศนั้นเจริญ แต่อาจจะไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เสมอไป
เช่น เมื่อได้รับเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกลางสามารถเพิ่มปริมาณเงินในท้องตลาดได้มาก พ่อค้าสามารถ แลก
เงินตรา ต่างประเทศมาเป็นเงินในประเทศได้มาก เมื่อปริมาณเงินในท้องตลาดมากอาจเกิดภาวะเงินเฟ้อ หรือการที่
ประเทศใด ประเทศหนึ่งได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศอื่นติดต่อกันหลายปีจะท าให้ประเทศคู่ค้าไม่สามารถมีเงิน
มาซื้อสินค้าหรือช าระเงินได้ ย่อมเป็นผลเสียต่ออุตสาหกรรมภายในประเทศ ดังนั้นนักคิดทางเศรษฐศาสตร์จึงเห็น
ว่าไม่ควรเปรียบเทียบเฉพาะราย การสินค้า เท่านั้น จึงจะท าให้ทราบสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ แต่ควร
มีรายการอื่น ๆ เข้ามาแสดงเปรียบเทียบด้วย และรายการอื่น ๆ ที่แสดงเปรียบเทียบนั้นแต่ละประเทศจะแสดงไว้ใน
รูปของดุลช าระเงินระหว่างประเทศ

