Page 36 - 02 รายงานวิชาการจังหวัดกระบี่2564
P. 36
- 14 -
สภาพป่าที่ปกคลุมด้วยเนื้อดินปนทรายหรือเนื้อดินเหนียวที่ปกคลุมไปด้วยฮิวมัส และเศษซากพืชจะมี
อัตราการแทรกซึมน้ำไม่แตกต่างกันมากนัก โดยให้เหตุผลว่าช่องว่างของดินในระดับความลึกประมาณ
60 เซนติเมตร จากผิวดินแทบจะไม่แตกต่างกัน Hoover (1950) หมายความว่าบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำที่มี
ป่าไม้ปกคลุมจะไม่มีน้ำไหลบ่าบนผิวหน้าดิน น้ำในลำธารที่เห็นเป็นน้ำที่ไหลผ่านดินล่าง (subsurface
flow) เท่านั้นที่ลงสู่ลำธาร (นิวัติ เรืองพานิช, 2513; Hoover and Hursh, 1943; Hewlett and
ื
Hibbert, 1967; Tsukamoto, 1966) อีกทั้งประเภทของป่ายังพบความแตกต่างของปริมาณน้ำที่พช
ดูดซับไว้ในดิน เช่น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น ป่าเบญจพรรณผสมไม้สัก และป่าเต็งรัง มีค่าประมาณ
ื
ร้อยละ 30, 9, 19, 39, และร้อยละ 62 ของปริมาณฝน ตามลำดับ จะเห็นว่าพื้นที่ป่าดิบเขามีน้ำที่ถูกพช
ดูดซับไว้น้อยที่สุด เนื่องจากมีลักษณะของใบเป็นมันและมีขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้สภาพของ
ื
ื่
ั
่
บรรยากาศยังเต็มไปด้วยเมฆหมอกและมีคาความชื้นสัมพทธ์สูง ในขณะที่ป่าชนิดอน ๆ มีน้ำที่ถูกพชดูดซับไว้
ประมาณ 40% ถึง 60% (Tangtham, 1999)
2.3.4 ปริมาณน้ำฝน
จากปัจจัยสำคัญดังที่กล่าวมาแล้ว ปริมาณน้ำฝนยังเป็นปัจจัยภายนอกที่มากระตุ้นให้ระบบ
และกลไกลการพังทลายของดิน หรือการเคลื่อนที่ของมวลดินเกิดขึ้นเร็วขึ้น กล่าวคือ เมื่อมีฝนตก
ึ
น้ำฝนจะซึมลงไปในดินด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ระยะแรกการแทรกซม (infiltration) ของน้ำฝนลงไป
ในดินค่อนข้างเร็ว เนื่องจากความชื้นในดินยังมีน้อย เมื่อมีฝนตกนานขึ้นในดินจะมีความชื้นมากขึ้น
ึ
ั
อัตราการแทรกซมจะช้าลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กบประเภทของเนื้อดิน ถ้าเป็นดินเนื้อหยาบอตราการแทรกซึมของ
ั
น้ำลงไปในดินก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว จำพวกดินทราย แต่ถ้าเป็นดินเนื้อละเอียด จำพวกดินเหนียว
การแทรกซึมค่อนข้างช้า ปริมาณน้ำที่แทรกซึมลงไปในดินจะไปกักเก็บไว้ในช่องว่างในดิน (soil pore)
ถ้าปริมาณน้ำมีมากกว่าที่ดินจะเก็บกักไว้ได้ก็จะไหลผ่านลงสู่ชั้นน้ำใต้ดินหรือชั้นน้ำบาดาล
(groundwater) ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมายังพื้นดินแทรกซึมลงไปในดินขึ้นอยู่กับอัตราการแทรกซึม
ึ
(infiltration rate) ถ้าปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในอัตราน้อยกว่าอัตราการแทรกซม น้ำฝนจะแทรกซึมลงใน
ดินทั้งหมด แต่ถ้าปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาในอัตราที่มากกว่าอัตราการแทรกซึม น้ำฝนที่เหลือจาก
การแทรกซึมลงในดินก็จะเกิดการไหลบ่าผิวดิน (surface runoff) ลงสู่ที่ต่ำ กรณีที่มีพืชพรรณหรือป่าไม้
ขึ้นปกคลุมพื้นดิน ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาบางส่วนจะถูกยึดไวโดยใบกิ่งก้าน และลำต้น จะมมากหรือน้อย
ี
ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชพรรณหรือประเภทของป่าไม้ เมื่อน้ำฝนที่ตกแทรกซึมลงในดิน ดินก็จะได้รับความชื้น
เพิ่มขึ้นทำให้ดินมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น มีผลทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างมวลดินด้วยกันหรือระหว่างมวลดินกับ
ึ้
ิ่
หินลดลงขณะเดียวกันแรงต้านต่อการยึดเหนี่ยวหรือแรงผลักดันมีเพมมากขน ประกอบกับสภาพพนที่ตาม
ื้
ลาดไหล่เขามีความลาดชัน และมีแรงโน้มถ่วงของโลก จึงเป็นสาเหตุให้ดินและหินแตกหลุดออกจากกัน
และเกิดการถล่มลงมา ดังตัวอย่างของ ปริญญา นุตาลัย และวันชัย โสภณสกุลรัตน์ (2532) พบว่าเมื่อมี
ปริมาณฝนตกตั้งแต่ 260 มิลลิเมตรขึ้นไป ภายในเวลา 24 ชั่วโมง จะเกิดดินถล่มตามลาดไหล่เขาหลายแห่ง
อย่างไรก็ตามนอกจากปริมาณน้ำฝนที่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมแล้ว ยังมีปัจจัยจากความสัมพันธ์ของ
ความถี่และปริมาณน้ำฝน พบว่าจำนวนของการเกิดดินถล่มมีความสัมพันธ์กับความถี่และปริมาณน้ำฝน
กล่าวคือ ในระดับรุนแรงมากต้องมีปริมาณฝนตกสะสม มาแล้ว 2 วัน มากกว่า 140 มิลลิเมตร และ
ความหนาแน่น (rainfall intensity) ของฝนมากกว่า 35 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ในระดับรุนแรงต้องมี
ปริมาณฝนตกสะสมมาแล้ว 2 วัน ปริมาณน้ำฝนระหว่าง 80-140 มิลลิเมตร ความหนาแน่นของฝน

