Page 35 - 02 รายงานวิชาการจังหวัดกระบี่2564
P. 35

- 13 -


                              การเกิดดินถล่มระดับตื้น (shallow landslide) มีความหลากหลายทางชนิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
                   ชนิดของดินที่เป็นผลมาจากการผุพังของชั้นหินต้นกำเนิด พสุทธิ์และคณะ (2533) ได้ศึกษาดินที่เกิดจาก
                                                                    ิ
                   การผุพังสลายตัวของหินแกรนิต บริเวณที่เกิดดินถล่ม อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่า
                   ดินส่วนใหญ่เป็นดินทราย สามารถแบ่งเป็น 2 ชั้น คือ ดินชั้นบนเป็นดินร่วนเหนียวปนทราย

                   (sandy clay loam) ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคขนาดทรายร้อยละ 50-65 ดินชั้นล่างเป็นดินเหนียวปนทราย
                   (sandy clay) ซึ่งประกอบด้วยอนุภาคขนาดทรายร้อยละ 30-45 จากข้อมูลนี้จะเห็นว่าดินทรายมี
                   แรงยึดเหนี่ยวของเม็ดดินมีน้อยทำให้เกิดการพังทลายได้ง่ายโดยปกติแล้วถ้าดินแห้งสนิทจะไม่มีแรงยึดเหนี่ยว
                   เกิดขึ้นเลย ดินจะมีแรงยึดเหนี่ยวเพิ่มขึ้นเมื่อดินได้รับความชื้นเพิ่มขึ้น และจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อดินได้รับ

                   ความชื้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินขีดจํากัดพลาสติก (plastic limit: PL) ดินแทบจะไม่มีแรงยึดเหนี่ยวหรือ
                   ไม่มีเลย เมื่อดินได้รับความชื้นมากขึ้นจนถึงขีดจํากัดความเหลว (liquid Limit: LL) ดินจะอยู่ใน
                   สภาพเหลวและไหลได้ ค่าที่ได้จากผลต่างระหว่างค่าขีดจํากัดความเหลวกับค่าขีดจํากัดพลาสติก เรียกว่า
                   ดัชนีพลาสติก (plastic Index: PI) ใช้เป็นตัวเปรียบเทียบปริมาณความชื้นที่สามารถเพ่มให้ดินได้โดยดิน
                                                                                           ิ
                   ไม่เปลี่ยนสภาพเป็นของเหลว ซึ่งดินแต่ละชนิดมีค่า ดัชนีพลาสติกไม่เท่ากัน ดินที่มีค่าดัชนีพลาสติกต่ำ
                   (PI = 5) เช่น ดินทรายแป้ง เมื่อได้รับความชื้นเพยงเล็กน้อย จะเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวได้ง่ายกว่าดินที่
                                                           ี
                   มีค่าดัชนีพลาสติกสูง (PI = 20) เช่น ดินเหนียวต้องได้รับความชื้นเข้าไปมากกว่าจึงจะเปลี่ยนสภาพเป็น
                   ของเหลว


                           2.3.3 สภาพพืชพรรณและการใช้ที่ดิน (vegetation and land use)


                              พืชพรรณและสิ่งปกคลุมดินมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ เช่น พื้นที่เกษตรกรรม
                   พื้นที่ป่าที่มีความหนาแน่นมาก พื้นที่ที่มีพืชพรรณหนาแน่นปานกลาง พื้นที่ที่มีพืชพรรณปกคลุมน้อย และ
                   พื้นที่ที่ไม่มีสิ่งปกคลุม (Anbalagan, 1992) เนื่องจากพชช่วยทำให้ดินร่วนซุย เมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนแทรกซึม
                                                               ื
                   และไหลผ่านลงสู่ดินชั้นล่างได้ดี นอกจากนี้รากพืชยังช่วยยึดอนุภาคดินไม่ให้แตกหลุด และเลื่อนไหลได้ง่าย
                   คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (2540) ได้รายงานการศึกษาสภาพดินถล่มบริเวณ
                   ไหล่เขาของเทือกเขาหลวงในจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าบริเวณที่เกิดดินถล่มส่วนใหญ่เป็นบริเวณ
                   ลาดไหล่เขาที่มีการถางป่าเพื่อปลูกยางพารา ซึ่งมีระบบรากฝอย ขาดรากแก้วยึดเกาะชั้นดิน เป็นปัจจัยที่

                   ส่งเสริมให้เกิดการขาดเสถียรภาพง่ายขึ้นเมื่อมีการกระตุ้นด้วยปริมาณน้ำฝน (วรวุฒิ ตันติวนิช, 2535)
                   แม้ว่าบางแห่งมีความลาดชันไม่มากนัก แต่รอยแผลที่เกิดดินถล่ม จะเปิดกว้าง ส่วนบริเวณที่เป็นป่าซึ่งมีสภาพ
                   ค่อนข้างสมบูรณ์มีการเกิดดินถล่มบ้าง แต่รอยแผลของการถล่มจะเกิดในบริเวณที่มีความลาดชันสูง
                   นอกจากนี้อัตราการแทรกซึมของน้ำยังเป็นปัจจัยเสริมในการเกิดดินถล่ม เช่น บริเวณป่าผลัดใบ
                   (deciduous forest) อัตราการแทรกซึมของน้ำมีค่ามากกว่า 1,270 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง สวนป่าสน

                   (Pine forest) มีค่าระหว่าง 36-1,270 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง (Hornbeck and Reinhart, 1964) ยังพบว่า
                   ในดินชั้นฮิวมัสหรือโอ อัตราการแทรกซึมของน้ำมีค่าสูงถึง 5,994 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ดินชั้นเอ
                   มีค่าระหว่าง 1,600-3,353 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง และดินชั้นบี (B horizon) มีค่าระหว่าง 230-432
                   มิลลิเมตรต่อชั่วโมง (Trimble and others, 1951)

                              กรณีศึกษาในประเทศไทยบริเวณพนที่ป่าต้นน้ำภาคเหนือซึ่งเป็นป่าดิบเขาก็พบเช่นเดียวกันว่า
                                                          ื้
                   แทบไม่มีน้ำไหลบ่าบนผิวหน้าดินเลย (นิวัติ เรืองพานิช, 2513) เปรียบเทียบกับพื้นที่ร้างปรากฏว่า
                   ปริมาณน้ำไหลบ่า บนผิวหน้าดินมีมากกว่าพื้นที่ป่าดิบเขาถึง 2 เท่า (นิพนธ์ และคณะ, 2516) โดยภายใต้
   30   31   32   33   34   35   36   37   38   39   40