Page 37 - 02 รายงานวิชาการจังหวัดกระบี่2564
P. 37
- 15 -
มากกว่า 15 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง และระดับรุนแรงน้อยต้องมีปริมาณฝนตกสะสมมาแล้ว 2 วัน
ปริมาณน้ำฝนมากกว่า 40 มิลลิเมตร ความหนาแน่นของฝนมากกว่า10 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง และ
การคาดคะเนปริมาณและความหนาแน่นของฝนสามารถแบ่งเป็น 3 ระดับ กล่าวคือระดับรุนแรงน้อย
ต้องมีฝนตกติดต่อกันมากกว่า 3 วัน มีปริมาณฝนระหว่าง 270-300 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของ
ฝนระหว่าง 90-100 มิลลิเมตรต่อวัน ระดับปานกลาง ต้องมีฝนตกติดต่อกันมากกว่า 2 วัน มีปริมาณฝน
ระหว่าง 280-300 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝนระหว่าง 140-150 มิลลิเมตรต่อวัน ระดับรุนแรง
ต้องมีฝนตกมากกว่า 6 วัน มีปริมาณฝนระหว่าง 480-500 มิลลิเมตร และความหนาแน่นของฝน ระหว่าง
80-85 มิลลิเมตรต่อวัน (Nianxueo and Zhupingo, 1992) อย่างไรก็ตามการศึกษาปริมาณน้ำฝน
ที่มีผลต่อการเกิดดินถล่มยังต้องพิจารณาร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน ซึ่งมีวงจร
การเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันในแต่ละฤดูกาลและเป็นสาเหตุหลักในการเคลื่อนตัวของมวลดิน
2.4 แนวความคิดเกี่ยวกับการทำแผนที่พื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม
ภัยพิบัติทางธรรมชาติ คือ “ภัยพิบัติที่มีโอกาสเกิดขึ้น ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
ภายในบริเวณที่เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติอาจสร้างความเสียหาย” (Varnes, 1984) คำจำกัด
ความรวมถึงขนาดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และคาบอุบัติซ้ำของการเกิด (Carrara and Pike, 2008) ซึ่งขนาด
จะเป็นตัวบ่งบอกความรุนแรงของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นเงื่อนไขทางพฤติกรรมและพลังของ
การทำลายล้าง ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการระบุสถานที่ที่อาจเกิดปรากฏการณ์ เวลาจะเป็น
ตัวบ่งชี้ถึงความถี่ของเหตุการณ์ (temporal frequency)
การประเมินอันตรายจากภัยพิบัติดินถล่มจึงต้องคำนึงถึง ขนาดที่ตั้ง และเวลาของทั้งปัจจัย
ควบคุมและปัจจัยกระตุ้น (Ayalew and Yamagishi, 2005; Dahal and others, 2008) อย่างไรก็ตาม
เป็นการยากที่จะทำนายคุณลักษณะที่สำคัญทั้งสามประการดังที่กล่าวมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่จะ
เกิดเหตุการณ์ นอกจากนี้ทั้งตัวแปรภายใน (ปัจจัยควบคุมดินถล่ม) และตัวแปรภายนอก (ปัจจัยกระตุ้น)
ถูกใช้ในการกำหนดการเกิดภัยพิบัติดินถล่มในพื้นที่ (Cevik and Topal, 2003) ตัวแปรภายในที่เป็น
ตัวกำหนดความอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม ประกอบด้วย ธรณีวิทยาของชั้นหิน (bedrock geology)
ธรณีสัณฐานวิทยา (geomorphology) ความหนาของชั้นดิน (soil depth) ชนิดของดิน (soil type)
ระดับของความลาดชัน (slope gradient) หน้ารับน้ำฝนของความลาดชัน (slope aspect) ความนูนลาด
(slope convexity) ความเว้าโค้งลาด (slope concavity) ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง
(elevation) คุณสมบัติทางวิศวกรรมของวัสดุธรณีที่มีความลาดชัน รูปแบบของการใช้ประโยชน์ที่ดิน
(land use pattern) รูปแบบของทางน้ำ (drainage pattern) และอื่น ๆ (Dahal and others, 2008)
ตัวแปรภายนอกที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดดินถล่มในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหว ประกอบด้วย ฝนตกหนัก
แผ่นดินไหว การประทุของภูเขาไฟ (Cevik and Topal, 2003) หรือการละลายของหิมะ (Malamud and
others, 2004)
ความอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม (landslide susceptibility) นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง
(Akgün and Bulut, 2007) และใช้แทนที่คำว่า “ความเสี่ยงภัยดินถล่ม” (landslide hazard) เนื่องจาก
สามารถกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มได้โดยไม่ต้องอ้างถึงเวลาและขนาด (Dai and Lee, 2001) นอกจากนี้
ความอ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่มคือความเป็นไปได้ที่จะเกิดดินถล่มในอนาคตในพื้นที่ที่กำหนด ขึ้นอยู่กับ

