Page 73 - ฉบับที่ 100
P. 73

๑. ความสําคัญของการวางแผนทางทหาร

                                                 ึ
                                                                   ุ
                        ิ
                   การริเร่มแบงยุคของสงครามสมัยใหม เกิดข้นอยางเปนรูปธรรมในกลมนักวิเคราะห 
                                               ๑
                                                           ึ
                                                           ่
            ของสหรัฐฯ โดยไดแบงสงครามออกเปน ๔ ยุค  คือ ยุคที่ ๑ ซงเปนยุคของ “Massed
                                ี
            Manpower” การศึกษาเก่ยวกับยุทธศิลปยังปรากฏชัดเจนทําใหการวางแผนทางทหาร
                                            ู
                            ู
            จะผูกโยงกับความรความสามารถของผบังคับบัญชาทางทหารเปนหลัก  ยุคที่  ๒
            ท่ “Massed Manpower” ถูกแทนท่ดวย “Massed Firepower” เกิดการศึกษา
             ี
                                          ี
              ื
                         ี
                                          ี
                      ื
            เพ่อกําหนดพ้นท่ เวลา หรือกําลังรบท่จะรวมอํานาจการยิงเขากระทําตอฝายขาศึก
            ถูกนํามาพิจารณา อันเปนจุดเร่มตนของการการศึกษายุทธศิลป ยุคที่ ๓ การแขงขันกัน
                                   ิ
                                 ิ
                                                     ั
                                                                      ี
                                   ี
                                        ั
            พัฒนาอํานาจ Firepower เร่มมขอจํากดมากข้นจึงตองหนไปสการสรางแนวคิดท่เหมาะสม
                                                         ู
                                              ึ
                                                                   ึ
                                                             ิ
            มาชดเชยจนเปนยุคของ “Maneuver” ยุทธศิลปก็มีความสําคัญเพ่มมากข้นอีก ยุคที่ ๔
  การพัฒนาการวางแผนทางทหาร  เปนยุคท่เสนแบงของสงคราม การเมือง ประชาชน คลุมเครือย่งข้น และตองรองรับตอภัยคุกคาม
                                                       ึ
                                                     ิ
                  ี
                            ี
                                     ั
            ท่เกิดข้นจากตัวแสดงท่ไมใชรัฐ อีกท้งในปจจุบันก็ไดมีการวิเคราะหไปถึงยุคท่ ๕ ของสงคราม
                 ึ
             ี
                                                                  ี
            สมัยใหม ซ่งจะเปนยุคของสงครามขอมูลขาวสารท่จะมงเนนการกระทําตอกระบวนการ
                                                     ุ
                                                 ี
                    ึ
            ตัดสินใจ ความรูสึกรับรูของฝายตรงขามทั้งทางตรงและทางออม
 จาก Threat Base สู Objective&Effect Base     หากวิเคราะหตามยุคของสงครามท่กลาวมาขางตน ในยุคท่ ๑ การวางแผน
                                              ี
                                                                ี
                                                               ี
                                                              ู
            ทางทหารจะไมไดรับการศึกษาอยางกวางขวางและสรางเปนองคความรท่ทําใหสามารถเขาใจ
                                              ุ
                                          ู
                                                   ั
                                                               ุ
                                                                           ั
            ไดมากนัก การเรียนการสอนจึงถูกตีกรอบอยในกลมชนช้นปกครองและกลมนักปราชญเทาน้น
                                                                  ั
            เพราะความเชอวาการมชยตอขาศกจะฝากไวกบขดความสามารถและอจฉรยภาพของ
                              ี
                                              
                                               ั
                               ั
                                                                     ิ
                                 
                                      ึ
                         
                                                 ี
                                    
                       ื
                       ่
            ผนํา และกุนซือ (เสนาธิการ) เพียงเทาน้น ต้งแตยุคท่ ๒ เปนตนมา เม่อแนวความคิด
                                                    ี
                                          ั
             ู
                                              ั
                                                                  ื
                        ิ
                       ี
            และเทคโนโลยเร่มมีผลตอความเปล่ยนแปลงคุณลักษณะของสงครามทําใหสงครามมีความ
                                      ี
               
            ซบซอนมากขนเร่อย ๆ ผนํากองทัพหรือกุนซือเพียงคนเดียวไมสามารถท่จะติดตาม วิเคราะห
             ั
                     ึ
                                                              ี
                             ู
                     ้
                        ื
                                                                          ิ
                               ั
            ประเมินผล และตัดสินใจส่งการไดอีกตอไป การศึกษาเร่องการวางแผนทางทหารจึงเร่มม ี
                                                     ื
            ความสําคัญ และพัฒนาการอยางตอเน่องเปนลําดับเพ่อตอบสนองตอรูปแบบของการทํา
                                         ื
                                                    ื
                         ั
            สงครามในขณะน้น ๆ โดยหากยอนกลับไปตรวจสอบประวัติการศึกษาการวางแผน
            สมัยใหมที่เปนแบบแผนอยางเชนปจจุบันนั้นจะเริ่มขึ้นในชวงตนศตวรรษที่ ๑๙ ในโรงเรียน
            ทหารของปรัสเซีย (War Academy) ซ่งถูกใชเปนพ้นฐานสําหรับการวางแผนและตัดสิน
                                         ึ
                                                  ื
            ใจทางทหารท่ดี เรียกวา “The Estimate of The Situation” และแพรหลายไปยัง
                      ี
            อีกหลาย ๆ ประเทศในเวลาตอมา ในสวนของกองทัพเรือสหรัฐฯ ไดเริ่มศึกษาเกี่ยวกับการ
                          ั
            วางแผนทางทหารต้งแตป ค.ศ.๑๘๙๕ และบรรจุหัวขอวิชา “การประมาณสถานการณ”
                                                                ¹ÒÇÔ¡Ò¸Ô»˜µÂÊÒÃ
                                                                              71
                                                                ¤Åѧ»˜ÞÞÒ ¾Ñ²¹Ò¼ÙŒ¹íÒ
   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77   78