Page 22 - version 4.2
P. 22

การศึกษาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของการรักษาผู้ป่วยมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ขั้นหายขาดอย่างเหมาะสม       ฉบับที่ 4.2 วันที่ วันที่ 08 มีนาคม 2564
                  ด้วยยาทาฟีโนควินหรือไพรมาควินโดยใช้การตรวจวัดระดับเอนไซม์ G6PD เชิงปริมาณ ประเทศไทย

                  หายเองได้ในรายที่มีภาวะพร่องเอนไซม์แบบอ่อน ๆ หรือในกรณีผู้ที่มีระดับเอนไซม์ต่ำมาก เช่น ต่ำกว่ารัอยละ 10

                  ของระดับปกติ อาจเกิดอาการ AHA แบบรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้ (4, 9) เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิด AHA แบบ
                  รุนแรง องค์การอนามัยโลกได้แนะนำในแนวทางการรักษามาลาเรียให้จ่ายยา PQ เป็นเวลา 14 วัน และสำหรับ

                  ผู้ป่วยที่มีภาวะพร่อง G6PD องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้จ่าย PQ ในเวลา 8 สัปดาห์แทน (10) อย่างไรก็ตาม

                  สิ่งท้าทายที่พบเสมอ คือ การทำให้ผู้ป่วยรับยาในระยะยาวนาน เพราะหลังจากผู้ป่วยได้รับยา CQ แล้วอาการของ
                  โรคจะหายไปอย่างรวดเร็ว จึงมักจะไม่กินยา PQ ต่อให้ครบชุด (4, 11, 12) ในประเทศไทยขนาด PQ ที่แนะนำใน

                  การรักษามาลาเรีย P. vivax คือ 0.25 มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละครั้งเป็นเวลา 14 วัน โดยให้ร่วมกับ CQ ในขนาด
                  25 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ที่แบ่งให้ใน 3 วัน ต่อมาใน พ.ศ. 2559 องค์การอนามัยโลกได้ปรับปรุงคำแนะนำใหม่โดยให้

                  ตรวจ G6PD ก่อนให้ยา PQ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด (10,13) สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง (ชื่อเดิมของ

                  กองโรคติดต่อนำโดยแมลง) ได้เริ่มโครงการนำร่องที่ได้นำการตรวจ G6PD เชิงคุณภาพมาใช้แล้ว กองโรคติดต่อนำ
                  โดยแมลงตั้งใจที่จะนำวิธีการตรวจ G6PD เชิงปริมาณมาใช้ก่อนจ่ายยา PQ ขั้นหายขาดในสถานบริการสาธารณสุข

                  ระดับต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งใชัเป็นโครงการนำร่องที่จังหวัดยะลา
                         Tafenoquine (TQ) คือยาที่คล้ายกับ PQ และปล่อยตัวยาอย่างช้า ๆ และมีระยะครึ่งชีวิตยาวกว่า PQ

                  (ประมาณ 2 สัปดาห์) จึงทำให้สามารถใช้ยานี้เพียงครั้งเดียว เพื่อการรักษาขั้นหายขาดได้ (โดยให้ร่วมกับยา CQ

                  ในเวลา 3 วัน) (14,15) การที่มีขนานยาที่มีขนาดยาที่ง่ายเช่นนี้ จะส่งผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อเรื่องการกินยา PQ
                  ให้ครบ ดังนั้น จึงเพิ่มประสิทธิผลของยาขนานนี้เมื่อนำไปใช้จริงได้

                         ประสิทธิผลในทางคลินิกของยา TQ ที่ใช้รักษาขั้นหายขาดเชื้อ P. vivax ได้ผ่านการประเมินในการศึกษา

                  ระยะ 2b และ 3 อย่างเรียบร้อย ในตอนที่ 1 ของการศึกษา DETECTIVE (ย่อมาจาก Dose and Efficacy Trial
                  Evaluating Chloroquine and Tafenoquine In Vivax Elimination – การทดลองเพื่อประเมินขนาดยาและ

                  ประสิทธิผลของยาคลอโรควินและทาฟีโนควิน ในการกำจัดเชื้อชนิดไวแวกซ์) เป็นการศึกษาระยะ 2b ในสถานที่
                  ศึกษาหลายแห่ง ปกปิดทั้งสองฝ่ายใช้วิธีสุ่ม โดยมียาหลอก ทำการประเมินผลของ TQ ที่ใช้ป้องกันไข้กลับในเวลา

                  6 เดือน ผู้ป่วยรับการรักษาด้วยยา CQ ในวันที่ 1 ถึง 3 แล้วตามด้วยยา TQ ชนิดให้ครั้งเดียวในขนาด 50 มิลลิกรัม

                  (มก.) 100 มก. 300 มก. หรือ 600 มก. อีกกลุ่มผู้ป่วยได้รับยา PQ ขนาด 15 มก. เป็นเวลา 14 วัน และกลุ่มที่สาม
                  ผู้ป่วยได้ยาหลอก (แต่ละกลุ่มมีผู้ป่วย 54 ราย) ผลการศึกษาแสดงว่า TQ ขนาด 300 มก. เป็นขนาดเหมาะสมทั้ง

                  ในด้านความปลอดภัย และผลการรักษา โดยการประมาณการพบว่า ประสิทธิผลในการป้องกันไม่ให้เกิดไข้กลับใน
                  6 เดือนของกลุ่ม TQ 300 มก. + CQ สูงกว่ากลุ่มอื่น (89.2% [ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI): 77%, 95%]) ที่ให้แต่

                  ยา CQ (37.5% [ช่วงความเชื่อมั่น 95% CI: 23%, 52%]) (16).

                         ในตอนที่ 2 ของการศึกษา DETECTIVE เป็นการศึกษาระยะ 3 (NCT01376167) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะ
                  ตรวจสอบประสิทธิผลของยา TQ และ CQ ที่ได้เลือกขนาดยาที่เหมาะสมจากการศึกษาระยะ 2b ผู้ป่วยได้รับการ

                  รักษาด้วยยา CQ วันที่ 1 ถึง 3 แล้วตามด้วย TQ 300 มก. กินครั้งเดียวในวันที่ 1 หรือ 2 หรือให้ PQ 15 มก.




                                                                                                    หน้าที่ 22 จาก 63
   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27