Page 48 - หนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ประถม
P. 48
39
ี่
เป็นแท่นไว้ที่วัดราชาธิราช ซึ่งต่อมาพระองค์ทรงลาผนวช จึงโปรดให้ชะลอไปไว้ทวัดพระศรีรัตน
ศาสดารามในปัจจุบัน
ี่
3. ทรงโปรดให้สร้างทานบกักเก็บน้ าทเรียกว่า “สรีดภงส์” โดยก่อสร้างทานบ
เพื่อเก็บกักน้ า โดยมีล ารางระบายน้ าส่งเข้าตัวเมือง เพื่อเก็บกักน้ าไว้ในสระน้ าใหญ่และเล็ก
หลายสระ โดยเฉพาะสระน้ าตามวัดวาอารามต่าง ๆ ซึ่งมีสระใหญ่หรือตระพังแทบทุกวัด
4. ทรงส่งเสริมการค้าขายด้วยการไม่เก็บภาษี ทเรียกว่า “จกอบ” (อ่านว่า จัก –
ี่
กอบ) จากหลักศิลาจารึก หลักที่ 1 ที่ว่า "..เมื่อชั่วพ่อขุนรามค าแหง เมืองสุโขทยนี้ดี ในน้ ามีปลา
ั
ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบ ในไพร่ ลูทางเพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้าง
่
ค้า ใครจักใคร่ค้าม้า ค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทอง ค้า…" จากข้อความนี้แสดงถึงความอุดม
สมบูรณ์ของอาณาจักรสุโขทัยในด้านการเกษตร ด้านการค้า
5. ทรงประดิษฐ์อักษรไทย เรียกว่า “ลายสือไทย” ทรงประดิษฐ์อักษรไทยไว้ใน
ศิลาจารึก เมื่อปี พ.ศ. 1826 ซึ่งแต่ก่อนนั้น ชนชาติไทยเอาแบบของอักษรคฤณภ์ของอินเดีย
มาใช้ ต่อมาได้รับอิทธิพลมาจากอักษรมอญและขอม จึงประดิษฐ์ลายสือไทยขึ้น เพื่อก าจัด
อิทธิพลวัฒนธรรมของขอม และสร้างสรรค์ลักษณะเอกลักษณ์ความเป็นภาษาไทยให้โดดเด่นขึ้น
6. ทรงเลื่อมใสและส่งเสริมพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลัทธิลังกาวงศ์ และ
ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์เป็นศาสนาประจ าบ้านเมือง ทรงโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์
ลังกาวงศ์ทรอบรู้พระไตรปิฏกมาจากเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งเป็นสังฆราช เพื่อสั่งสอนความรู้
ี่
ั
ทางธรรมแก่ประชาชนสุโขทย ดังจารึกทว่า “คนในเมืองสุโขทยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน
ี่
ั
ั้
ั
่
พ่อขุนรามค าแหง เจ้าเมืองสุโขทยนี้ ทงชาวแม่ชาวเจ้า ทวยปั่วทวยนาง ลูกเจ้าลูกขุน
่
ทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทกคน เมื่อออก
ุ
พรรษากรานกฐิน เดือนหนึ่งจึงแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้
มีหมอนนั่งหมอนนอน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปี แล้ญิบล้านไปสูดญัติกฐิน เถิงอรัญญิกพู้น...”
7. ทรงโปรดให้จารึกเรื่องราวทเกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ในศิลาจารึกสุโขทย
ั
ี่
หลักที่ 1 ระบุถึงอาณาเขตของบ้านเมือง ได้แก่ “...มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันออก
ี่
รอดสรลวง สองแคว ลุมบาจาย สคา เทาฝั่งของเถิงเวียงจันทน์ เวียงค าเป็นทแล้วเบื้องหัวนอน
้
ี่
ี
รอดคนทพระบาง แพรก สุพรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลเป็นทแล้วเบื้อง
ตะวันตกรอดเมืองฉอด เมืองหงสาวดี สมุทรหาเป็น แดนเบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่ เมืองมาน
เมืองน่าน เมืองพลัว พ้นฝั่งของเมืองชวา...”

