Page 13 - บรรทัดฐาน(ทฤษฎี)
P. 13
3. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ กล่าวคือกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดความ
ประพฤติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์จำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จึงจำเป็นต้องมีสภาพ
บังคับในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์กฎหมายใดไม่มีสภาพบังคับ ไม่เรียกว่าเป็น
กฎหมาย ซึ่งสภาพบังคับ (Sanction) ของกฎหมายก็คือโทษต่างๆ ในกฎหมายอาญา
ได้แก่ การประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ส่วนสภาพบังคับของกฎหมาย
แพ่ง ได้แก่ การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายนั้นตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ ค่า
เสียหายฐานผิดสัญญา ค่าสินไหมทดแทน การคืนทรัพย์สิน และการชดใช้ราคา
4. กฎหมายต้องมีกระบวนการบังคับที่เป็นกิจจะลักษณะ (Organized
sanction or organized enforcement) (ปรีดี เกษมทรัพย์. 2526 : 273) ทั้งนี้สภาพ
บังคับของกฎหมายนั้นจะต้องมีกระบวนการที่แน่นอนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในอดีต
การบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายบางครั้งใช้ระบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้ผู้อื่น
ถึงแก่ความตาย คนทำให้เขาตายก็ต้องตายตกไปตามกัน แต่ในการปกครองสมัยใหม่
นี้เป็นการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ กล่าวคือรัฐเป็นศูนย์รวมอำนาจ ทั้งการออก
กฎหมายก็จะออกมาจากรัฐ การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องกระทำโดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐ รัฐสมัยใหม่จะไม่ยอมให้มีการบังคับกฎหมายโดยประชาชน เพราะจะทำให้คน
ที่แข็งแรงกว่าใช้กำลังบังคับคนที่อ่อนแอกว่า ซึ่งจะทำให้สังคมวุ่นวาย และเนื่องจาก
กฎหมายมีกระบวนการบังคับที่เป็นกิจจะลักษณะเช่นนี้จึงทำให้กฎหมายมีลักษณะเป็น
กฎเกณฑ์ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ซึ่งแตกต่างจากศีลธรรม ศาสนา หรือจารีต
ประเพณี กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่รวมศูนย์อยู่ที่รัฐนี้กระทำโดยผ่านองค์กร
ต่างๆ เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ เป็นต้นเช่นถ้าใครกระทำผิดกฎหมายก็จะมี
ตำรวจคอยจับกุม มีอัยการทำหน้าที่ฟ้องผู้นั้นต่อศาล ศาลจะเป็นผู้พิจารณาลงโทษ
และเมื่อศาลตัดสินลงโทษแล้วก็จะส่งไปจำคุกโดยอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่
ราชทัณฑ์ต่อไป
ดังนั้น ศาสนา ศีลธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย ต่างเป็นเครื่องมือในการควบคุม
ความประพฤติของมนุษย์ในสังคมให้อยู่กันอย่างสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน
การดำเนินชีวิตในสังคมไม่อาจจะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมความประพฤติของมนุษย์
ได้เพียงอย่างเดียว จากลักษณะของมนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่รวมกันเป็นกลุ่มทำให้มนุษย์ไม่
อาจจะอยู่ตามลำพังได้ ต่างต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เป็น
ความจำเป็นทางธรรมชาติของสังคม ดังนั้นกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติจะเข้ามาควบคุมความ
ประพฤติของมนุษย์ด้วย เช่น ศีลธรรม จารีตประเพณี รวมทั้งความเชื่อทางศาสนา ซึ่งกฎ
เกณฑ์หรือแบบแผนเหล่านี้มีความอ่อนไหวส่งผลทางด้านภายในจิตใจของมนุษย์ ส่วน
กฎหมายเป็นเรื่องภายนอกจิตใจของมนุษย์ที่เกิดจากความต้องการจำเป็นจะควบคุมความ
ประพฤติของมนุษย์ให้บังเกิดผลอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยใน
สังคม ลดความขัดแย้งในสังคมทำให้สังคมอยู่กันอย่างมีความสุขมากขึ้น

