Page 41 - เล่มวิจัยนวัตกรรม WCL MODEL
P. 41
29
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูล
การสร้างและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ
การสร้างแบบประเมินความพึงพอใจ และหาประสิทธิภาพของเครื่องมือมีขั้นตอนดังนี้
1. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร งานวิจัย และแนวคิดเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่องผลกระทบของนวัตกรรม
ของโรงเรียน
ึ
2. กำหนดกรอบและขอบเขตของแบบประเมินความพงพอใจ โดยให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และ
สมมติฐานของงานวิจัยโดยเรียงลำดับตามลักษณะของคำถามตามแนวคิดของงานวิจัย
3. การสุ่มตัวอย่างเพื่อสัมภาษณ์กลุ่มประชากรเพื่อให้ได้คำตอบในการนำมาเป็นแนวทางใน
การตั้งคำถาม และการปรับปรุงคำถามในแบบประเมินความพึงพอใจให้ถูกต้อง
4. สร้างแบบประเมินความพึงพอใจ ตามกรอบและขอบเขตที่ได้ตั้งไว้โดยมีแนวทางการตั้ง
คำถามตามที่่ได้สรุปจากข้อที่ 3
5. นำแบบประเมินความพึงพอใจ ไปปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่
เกี่ยวข้องกับการวิจัย ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ 1.นาง
สมคิด จ้อยสำเภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ 2. นางสาวสิรินทร์ โพธิโสโนทัย ผู้ช่วย
ผู้อำนวยการกลุ่มบริหารงานบุคคล 3. นางวันดี เดชอัมพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุ่มบริการงบประมาณ
(งานกิจการนักเรียน) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและข้อคำถาม ในแต่ละข้อให้เป็นไปตาม
จุดประสงค์ของงานวิจัยโดยการหาค่าความเที่ยงตรงของแบบประเมินความพึงพอใจ หรือค่าความ
สอดคลอ้งระหว่างข้อคำถามวัตถุประสงค์ หรือเนื้อหา (Index of Item Objective Congruence:
IOC) ซึ่งในการตรวจสอบมีการให้เกณฑ์ในการตรวจพิจารณาข้อคำถามดังนี้ (Rovinelli, R. J.,
&Hambleton, R.K. 1977)
ให้คะแนน +1 ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์
ให้คะแนน 0 ถ้าไม่แน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ตรงตามวัตถุประสงค์
ให้คะแนน -1 ถ้าแน่ใจว่าข้อคำถามวัดได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์
ในการพิจารณาค่าความเที่ยงตรงมีหลักการดังนี้
1. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 –1.00 มีค่าความเที่ยงตรง ใช้ได้
2. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า 0.50 ต้องปรับปรุง ยังใช้ไม่ได้
6. นำแบบประเมินความพึงพอใจ ที่ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญ ใช้กับ
ประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างเป้าหมายจำนวน 10 คน เพื่อทดสอบความน่าเชื่อถือ (Reliability) ของ
แบบประเมินความพึงพอใจ เฉพาะในส่วนที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) ซึ่งเป็น
การวัดความสอดคล้องภายใน (Measure of Internal Consistency) โดยจะพิจารณาข้อคำถาม
ทั้งหมดในเครื่องมือนั้นวัดในเรื่องเดียวกันหรือไม่ โดยใช้วิธีหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค

