Page 62 - ดำแล้วไม่โผล่
P. 62
ี
“ไทยเราอาจจะเป็นได้แค่ “นักเลงใหญ่ท่ปล�ย เยอรมันได้ต่อไว้ใช้ปฏิบัติการในทะเลบอลติค (ในพื้นที่
(กน) ซอย” เท่าน้น เพราะปากซอยแคบและมีเพ่อนบ้าน ทางด้านตะวันตกของของเกาะ BORNHOLM) ซึ่งพื้นที่
ั
้
ื
้
ุ
ี
ำ
ท่แม้จะดูว่าเป็นนักเลงร่นหลัง แต่ก็มีศักยภาพเหนือกว่า ดังกล่าวคว�มลึกของน�ค่อนข้�งตื้น”
ี
่
เราในดานกาลงรบมตท ๓ คอ มิติใต้นำ� ทเราอยาก ระยะลึกของเรือดำ�น�ที่เครื่องบินมองเห็น
่
ื
ี
้
้
ั
ำ
ิ
้
ำ
ิ
้
้
ิ
ื
่
ู
ื
จะได้ใจจะขาดแต่ก็มีไม่ได้สักที วันดีคืนดีถ้าเพ่อนบ้าน ขนอยกบลกษณะของผวนำา ประเภทของพนทองทะเล
ั
้
ั
ึ
้
ี
เหล่าน้เกิดแปรสภาพเป็นอันธพาลหรือจ้กโก๋ปิดซอย ความลึกของน้า ความเข้มของแสงสว่างในเวลากลางวัน
ิ
ำ
เราก็คงเหนื่อย” และระยะสูงของเครื่องบิน
ก�รเห็นเรือดำ�น�จ�กเครื่องบิน ในช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ แม้ว่าจะโผล ่
้
ำ
๑๒. น�ยเรือโท สมเด็จพระเจ้�น้องย�เธอ สมเด็จเจ้�ฟ้� กล้องตาเรือขึ้นเหนือนำ้าก็มองไม่เห็น
ิ
กรมขนสงขล�นครนทร ทรงพระนิพนธ์ไว้ในรายงาน ในบริเวณด้านตะวันตกของชองแคบองกฤษ
ุ
่
ั
์
“ความเห็นเรื่องเรือ ส.” ว่า ถ้าดำาลึกภายในระยะ ๓๐ ฟุต สามารถมองเห็นได้
ั
ำ
ำ
“การเห็นน้นถ้าเวลาดานำ้า แลเห็นแต่กล้องดู แลถ้า ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ถ้าดาลึกภายในระยะ ๕๐ ฟุต
ี
มคลื่น แล้วแล่นตามคลื่นจะไม่เห็นได้เลย มีคนคิดจะดู สามารถมองเห็นได้
เรือ ส จากเรือบิน แต่โดยเหตุที่ เรือ ส ทาสีกันเสียแล้ว ๑๔. พลเรือโท พัน รักษ์แก้ว ได้เล่�ไว้ว่�
ั
ั
ี
้
เพราะฉนั้นคงเห็นได้โดยยาก” “ในสงครามโลกคร้งท่ ๒ เรือดาน้าสหรฐฯ ไดลอบ
ำ
ำ
่
ื
ุ
ื
๑๓. พลเรือตรี สุดจิตต์ ทองผิว ได้เขียนเร่อง เข้าวางท่นระเบิดนอกเกาะไผ่ ก้นอ�วไทย เพ่อปิดล้อม
ิ
ื
“เรอดานา” ไวในนิตยสารนาวกศาสตร เดอนมกราคม ท่าเรือเกาะสีชัง โดยเครื่องบินญี่ปุ่นและไทยตรวจไม่พบ
์
้
้
ำ
ื
ำ
้
๒๕๒๗ ว่า เรือดำ�น�”
ำ
ำ
ื
่
้
“โดยที่ความลึกของนำ้าในอ่าวไทยค่อนข้างต้น เรือดำ�น�พันธมิตรเข�ม�ปฏิบัติก�รถึงก้นอ�วไทย
้
(ลึกอย่างมากท่สุดประมาณ ๘๐ เมตร) และสีของนำ้า ๑๕. พลเรือเอก ประพัฒน์ จันทวิรัช ได้เขียน
ี
ิ
ุ
ำ
ำ
้
ั
่
ำ
ำ
ทะเลก็ไม่เข้มมาก ดังน้นเรือดาน้าจึงมีอันตรายจาก เรื่อง “เรือดานาพนธมตรรกรานนานนำาไทยในสมย
ั
ั
้
ท่นระเบิด และถูกเห็นจากการตรวจการณ์ทางอากาศได้ง่าย สงครามโลกครั้งที่ ๒” “ตอนที่ ๑ และตอนที่ ๒ ไว้ใน
ุ
้
ำ
ำ
ี
้
ถ�ด�ในระยะกลองต�เรอ ด้วยเหตุน้เรือดาน้าจึงควร นิตยสารนาวิกศาสตร์ เดือนสิงหาคม และกันยายน ๒๕๓๙”
ำ
ื
ำ
ำ
มีขนาดเล็กและตัวเรือต้องทาด้วยเหล็กกล้ากาลังดึงสูง “เม่อประมาณ ๓ เดือนท่แล้วมา ผมได้อ่าน
ี
ื
์
ี
ำ
กับไม่เป็นแม่เหล็ก (HIGH-TENSILE,NON-MAGNETIC- คาให้สมภาษณของข้าราชการผ้ใช้เคร่องแบบสกาก ี
ู
ื
ั
ี
STEEL)” เช่นเดียวกัน (แต่เป็นสีกากีท่ผิดไปจากความหมาย
“เรือดาน้าท่เราควรจะมีน้น จะต้องเป็นเรือดาน้า ด้งเดิมท่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หัว
ี
ำ
ำ
ู
ำ
ั
ั
ำ
ี
ื
ั
ชายฝั่ง (COASTAL SUBMARINE) ซึ่งเรือชนิดนี้มีระวาง ทรงพระราชวิจารณ์ไว้เม่อคร้งเสนาบดีกระทรวงนครบาล
ขับน้า เมื่ออยู่บนผิวน้าประมาณ ๕๐๐ ตัน” ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ “พลตระเวน”
ำ
ำ
“เรือดานำ้าประเภทชายฝ่ง (COASTAL SUBMARINE) ใช้เคร่องแบบ“สีกากี”เม่อหลายสิบปีก่อน)
ื
ื
ำ
ั
ู
ี
ู
ำ
ขนาดประมาณ ๕๐๐ ตัน เป็นเรือที่ ทร.ไทย ควรจะมี ท่านผ้ให้สัมภาษณ์เป็นผ้ท่มีตาแหน่งการงานควรแก่การ
ื
อย่างน้อยสัก ๓ ลา เพ่อใช้เป็นอาวุธรุกทางยุทธวิธีใน ให้สัมภาษณ์แต่มีส่วนเกี่ยวกับทหารเรือเล็กน้อย ท่านกล่าวว่า
ำ
ำ
้
ำ
ำ
้
น่านน้าใกล้บ้าน” “อ่�วไทยน�ลึกเพียง ๗๐ - ๘๐ เมตร เรือดำ�น�ปฏิบัติก�ร
ื
่
ั
้
ี
่
“เรือ Type 205, 206, 207 เป็นเรือประเภทชายฝ่ง ไม่สะดวกจึงไม่น�คิดท่จะมีเรือดำ�น�” ผมไมได้จดช่อ
ำ
ู
ำ
“Type 206” ค่อนข้างจะทันสมัยเพราะต่อล่าสุดโดย และตาแหน่งของท่านผ้ให้สัมภาษณ์ไว้ แต่เห็นว่าผม
นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๘ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ 17

