Page 116 - รายงานประจำปี2562
P. 116

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2๗๘๘/2562

                                   ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลจากการยื่นคำร้อง

                        ของจำเลยที่ 2 ว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาทซึ่งถูกโจทก์นำไปฟ้องเป็นคดีแพ่งมีการทำสัญญาประนีประนอม
                        ยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลที่จะตรวจสอบ
                        ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่โดยอาศัยพยานหลักฐานอย่างไร หาได้มีบทบัญญัติ
                                                                                           ่
                        แห่งกฎหมายใดบังคับให้ศาลต้องทำการไต่สวนรับฟังคำคัดค้านของโจทก์เสียก่อนไม ฉะนั้น การที่โจทก์ไม่
                                                                                                  ุ
                                                                                          ื่
                                          ิ
                        มาศาลในวันนัดฟังคำพพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และศาลชั้นต้นส่งสำนวนคืนเพอให้ศาลอทธรณ์ภาค 1
                                                                                                            ั
                        พิจารณาคำร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นเป็นการเพียงพอที่จะรับฟง
                        ข้อเท็จจริงว่าเป็นไปตามสำเนาคำฟ้องประกอบกับสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งรับรองความ
                        ถูกต้องโดยเจ้าพนักงานศาลข้างต้น ก็ชอบที่จะมีคำวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องไต่สวนก่อน
                                   มูลหนี้ซื้อเครื่องยนต์และอุปกรณ์รถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ด้วยเช็คพิพาท ถูกโจทก์
                                                                                                            ่
                        นำไปฟ้องเป็นคดีแพ่ง ซึ่งต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีแพง
                        ดังกล่าวและศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ผลของสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้สิทธิ
                        ของโจทก์ที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามมูลหนี้ค่าซื้อเครื่องยนต์และอุปกรณ์รถยนต์จากการ
                        ออกเช็คพิพาทเป็นอันระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 โจทก์คงมีสิทธิ
                        เรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น แม้จำเลยที่ 2 จะไม่
                        ชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดในมูลหนี้ตาม

                        เช็คพิพาทได้อีก จึงต้องถือว่าหนี้ค่าซื้อเครื่องยนต์และอุปกรณ์รถยนต์ที่จำเลยที่ 2 ออกเช็คพิพาทเพื่อใช้
                        เงินนั้น เป็นอันสิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลในคดีนี้มีคำพิพากษาถึงที่สุด คดีจึงเป็นอันเลิกกันตาม
                        พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอนเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟองของ
                                                  ั
                                                                                                        ้
                        โจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ส่วนที่ในสัญญา
                        ประนีประนอมยอมความข้อ 1 ระบุไว้ว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ
                        คดีอาญาที่วินิจฉัยอยู่นี้ เป็นทำนองยกเว้นมิให้ถือว่าคดีอาญาเลิกกันด้วยก็ตาม แต่ข้อตกลงดังกล่าวมี

                        วัตถุประสงค์ขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายโดยชัดแจ้งจึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
                        พาณิชย์ มาตรา 150 ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวสามารถแยกออกต่างหากจากข้อตกลงตามสัญญา
                        ประนีประนอมยอมความในข้ออื่นได้ จึงไม่ทำให้สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งตกเป็นโมฆะ
                        ทั้งหมด ทั้งนี้ ตามมาตรา 173 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์










                        รายงานประจำปี ๒๕๖๒                                                                                                   หน้า | ๑๐๕
   111   112   113   114   115   116   117   118   119   120   121