Page 142 - E-book การประชุมวิชาการครั้งที่ 36
P. 142

-  Total motility            40      %
                                       -  Progressive motility      32      %

                                       -  Normal morphology          4      %

                                       -  Vitality                  58      %
                                                  ิ
                         สำหรับการตรวจวิเคราะห์อสุจ เป็นการตรวจพื้นฐานเพื่อประเมินความผิดปกติของฝ่ายชาย โดยแนะนำให้
                  ตรวจหลังงดหลั่งอสุจิเป็นเวลา 2 - 7 วัน (Abstinence period) โดยเก็บด้วยวิธีการช่วยตนเอง (Masturbation)

                                                       ุ
                  ที่ไม่ใช้สารหล่อลื่นและสารที่มีฤทธิ์ทำลายอสจิ (Spermicidal agent) เก็บในภาชนะเฉพาะ แต่หากไม่สามารถเก็บ
                  ได้ด้วยตนเอง สามารถเก็บด้วยการร่วมเพศแบบใส่ถุงยางเฉพาะที่ไม่กวนการวิเคราะห์ผล

                         ในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติของอสุจ แนะนำส่งต่อแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ เช่น ตรวจ
                                                           ิ
                  ระดับฮอร์โมน Testosterone, FSH, LH (Endocrine evaluation) เพื่อแยกความผิดปกติว่าเป็นจากต่อมใตสมอง
                                                                                                           ้
                  หรือ ต่อมฮัยโปธาลามัสผิดปกติ (Pretesticular cause) อัณฑะทำงานผิดปกติ (Testicular failure) หรือ ท่อนำ

                  อสุจิตีบตัน (Posttesticular cause) ประเมินโครโมโซม (Genetic testing, Karyotype, Y microdeletion),

                                                                                                               ั
                                                   ุ
                  อัลตราซาวด์ดูการขยายตัวของทอนำอสจิ (transrectal ultrasound, TRUS) หรือส่ง Urinary analysis เมื่อสงสย
                                            ่
                  ภาวะ Retrograde ejaculation เป็นต้น
                         จากข้อมูลข้างต้นจึงสรุปได้ว่า การตรวจประเมินคู่สมรสที่มีภาวะมีบุตรยากนั้น จำเป็นต้องให้การดูแล

                        ั้
                  รักษาทงฝ่ายชายและฝ่ายหญิง โดยควรดูแลตั้งแต่การตรวจประเมินความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ การเตรียมพร้อม
                  สำหรับการตั้ง (Preconception test) การซักประวัติ การตรวจร่างกายโดยละเอียดเพื่อหาสาเหตุของความ

                  ผิดปกติ รวมถึงการตรวจประเมินขั้นพื้นฐานของคู่สมรสเพื่อหาสาเหตุเฉพาะ  (Primary test for infertility

                  evaluation) อันประกอบด้วย 1. ประเมินการตกไข่ ovulation 2. ประเมินอวัยวะในอุ้งเชิงกรานโดยการตรวจ
                  Ultrasonography 3. ประเมินการอุดตันของท่อนำไข่ Tubal patency test และ 4. การตรวจวิเคราะห์อสุจ  ิ

                  Semen analysis ทั้งนี้เพื่อหาสาเหตุ และแก้ไขสาเหตุเฉพาะดังกล่าว รวมทั้งหาข้อบ่งชี้สำหรับการรักษาโดยอาศย
                                                                                                               ั
                  กระบวนการช่วยการเจริญพันธุ์ชนิดอื่น ๆ เพื่อให้คำแนะนำแก่คู่สมรสและส่งตัวต่อให้แพทย์เฉพาะทางตามความ
                  เหมาะสมต่อไป

                  เอกสารอ้างอิง
                                                                                                             th
                         1. Taylor HS, Pal L, SeliE. Speroff’s Clinical Gynecologic Endocrinology and Infertility. 9
                  ed. Philadelphia: LWW; 2020.

                                                                    th
                         2. Berek JS. Berek & Novak’s Gynecology. 16 ed. Philadelphia: Wolters Kluwer Health;
                  2020.
                                                                                             th
                         3. Jerome FS, Robert LB. Yen & Jaffe’s Reproductive Endocrinology. 8 ed. Philadelphia,
                  PA: Elsavier;2019.




                  Fertility Management for general OB-GYN: Definition and investigation                     126
   137   138   139   140   141   142   143   144   145   146   147