Page 45 - การวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฎในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา
P. 45

๓๑


                                               ื่
                       ปรัชญาชาวอาหรับ และเพอน ๆของเขา จนมาถึงช่วงปรัชญาสมัยกลาง (Medieval Period)
                       อภิปรัชญาได้ลดความส าคัญลง เพราะเทววิทยา (Theology) ได้รับการยอมรับและศึกษากันอย่าง

                       กว้างขวาง ซึ่งก็ถือว่าเป็นยุคมืดของวงการปรัชญา นักปรัชญาส่วนมากเป็นพระนักบวชในคริสต์
                                                                                             ี่
                       ศาสนา จึงเน้นค าสอนเกี่ยวกับคริสตศาสนาอย่างเดียว ต่อมาประมาณคริสต์ศตวรรษท ๑๖ เป็นต้นมา
                       ซึ่งเข้าสู่ยุคปรัชญาสมัยใหม่ (Modern Period) อภิปรัชญาจึงได้มีความส าคัญเท่ากับเทววิทยา

                                       ๑๖
                       จนกระทั่งถึงปัจจุบัน
                                 อดิศักดิ์ ทองบุญ, ได้กล่าวถึงความหมายของอภิปรัชญาไว้ในหนังสือวิเคราะห์อภิปรัชญา

                       ในพระพุทธศาสนา สรุปความได้ว่า อภิปรัชญาได้ศึกษาถึงสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง ซึ่งอาจรู้ได้หรือไม่
                       อาจรู้ได้ทางประสาทสัมผัส มีลักษณะ ๒ อย่าง คือ มีอยู่จริง และเป็นอยู่จริง การจะถือว่าสิ่งใดเป็นสิ่ง

                       เป็นจริง ก็ต้องดูว่า สิ่งนั้นมีอยู่จริงและเป็นอยู่จริงหรือไม่ การจะรู้ว่าสิ่งใดมีอยู่จริงหรือไม่มีอยู่จริงให้
                       ศึกษาจากความมีอยู่ (existence) ของสิ่งนั้น เช่น ศึกษาว่า พระผู้เป็นเจ้า (God) มีอยู่จริงหรือไม่ ถ้า

                       มีอยู่จริง มีอยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร ซึ่งกลุ่มศาสนาเทวนิยมจะตอบค าถามนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้ามีอยู่เอง

                                                              ั
                       เป็นอยู่เอง ไม่มีเหตุปัจจัยภายนอก จึงไม่ถูกจ ากดด้วยกาละ เป็นนิรันดร ไม่ถูกจ ากัดด้วยเทศะ แพร่อยู่
                                                                  ั
                       ทั่วไปทั้งในโลกนี้ ที่เรียกตามศัพท์ทางวิชาการว่า อพภันตรภาพ (immanent) และแพร่เลยโลกนี้
                                            ุ
                       ออกไปด้วย ที่เรียกว่า อตตรภาพ (transcendent) และการที่จะรู้ว่า สิ่งใดเป็นอยู่จริงหรือไม่ ให้
                       ศึกษาจากความเป็นอยู่ หรือความเป็น (essence) ของสิ่งนั้น เช่น ศึกษาว่า พระผู้เป็นเจ้า คือใคร มี
                       คุณลักษณะอย่างไร นักเทวนิยมก็จะตอบค าถามนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้า คือผู้สร้างโลกและสรรพสิ่ง บาง

                       กลุ่มอธิบายว่า พระผู้เป็นเจ้ามีรูปร่างลักษณะเป็นบุคคล (personal) บางกลุ่มอธิบายว่า ไม่มีรูปร่าง
                       ลักษณะเป็นบุคคล (impersonal) และพรรณนาว่าเป็น สัพพญญู (omniscient) คือรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
                                                                         ั

                       สรรพวิภู (omnipresent) คือแพร่อยู่ทั่วไป สรรพเดชะ (omnipotent) คือมีอานาจเหนือสรรพสัตว์
                                 ๑๗
                       และสรรพสิ่ง
                                 ๒.๒.๓ ความเป็นมาของอภิปรัชญา

                                 อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นหนึ่งในสาขาใหญ่ของปรัชญาที่เก่าแก่ที่สุด หรืออยู่ใน

                       กลุ่มของปรัชญาบริสุทธ์ ที่ศึกษาเนื้อแท้ของวิชาปรัชญาล้วน ๆ อภิปรัชญาพฒนาจากความคิดหรือ
                                                                                       ั
                                                        ั
                       ความสงสัยของมนุษย์ต่อปรากฏการณ์อนลึกลับเกินกว่าที่ประสาทสัมผัสของมนุษย์จะรู้ตามได้ เช่น
                       เรื่องจิต มโน วิญญาณ พระเจ้า และการเกิดขึ้นของจักรวาล เหล่านี้เป็นต้นล้วนน ามาซึ่งความสงสัย





                                 ๑๖ อดิศักดิ์ ทองบุญ, คู่มืออภิปรัชญา, (กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๖), หน้า ๓.
                                 ๑๗ อดิศักดิ์ ทองบุญ, วิเคราะห์อภิปรชญาในพระพทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหา
                                                           ั
                                                                     ุ
                       จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒),หน้า๑–๒.
   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50