Page 29 - หนังสือ กรมป่าไม้ 123 ปี รักป่า รักประชาชน
P. 29

ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่  ๓  คือมีการส่งไม้เป็นส่วยของหัวเมืองฝ่ายเหนือ
                 ั
            รวมท้งมีการส่งไม้สักเป็นส่วยแทนทองคาด้วย แสดงให้เห็นว่าไม้สัก
                                            �
            มีค่าสูงมากประดุจทองค�า
                    ในปี พ.ศ. ๒๓๗๒ รัชกาลที่  ๓ เริ่มตระหนักว่าไม้สักและไม้
             ื
            อ่น ๆ จากผืนป่า นับว่าเป็นผลประโยชน์สาคัญของแผ่นดิน จึงเห็นสมควร
                                           �
            ที่จะควบคุมกิจการป่าไม้ให้เป็นกิจลักษณะรัดกุมมากขึ้น  โดยการเก็บ
                                                          ั
                                                            ี
            "ภาษีขอนไม้สัก" ท่จะผ่านจากกรุงเทพออกไปต่างประเทศ ท้งน้ได้มีการ
                           ี
            ตั้ง ขุนจ�าเริญรักษา เป็นเจ้าภาษีไม้ขอนสัก  นอกจากไม้สักแล้ว ยังพบ
            ว่ามีการส่งออกไม้กระยาเลยชนิดต่างๆ  เช่น ตะแบก ตะเคียน ยาง และ
            อุโลก ส่วนชาวต่างชาติที่เข้ามาท�าไม้ในประเทศสยามนั้น มีหลายชาติ
            ด้วยกัน เช่น มอญ  พม่า และอังกฤษ   ส�าหรับ "สักใหญ่"  ที่ใช้งานใน                                กองเกวียนบรรทุกไม้
            ประเทศนั้น ก็มีการแปรรูปใช้งานก่อสร้างทั่วไป สร้างบ้านเรือน ท�าไม้
                                                                                                              �
            หลักแพ เสากระโดง เพลาใบ และทวน เป็นต้น                   พายัพของสยาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน ๕ นครสาคัญ อันได้แก่
                    จะเห็นว่า ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนี้   ไม้และผลิตผลจาก นครเชียงใหม่ ล�าพูน ล�าปาง แพร่ และน่าน
            ป่าไม้ในประเทศเป็นของท่มีมาก เก็บหามาใช้ประโยชน์ได้หลายประเภท    เจ้าผู้ครองนครเหล่าน้ ซ่งมีศักด์เทียบเท่าประเทศราชของ
                                ี
                                                                                               ึ
                                                                                             ี
                                                                                                     ิ
            นับตั้งแต่สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เป็นฟืนหุงต้มอาหาร เป็นอาวุธในการ กรุงเทพฯ ได้ยืดถือเอาว่า ป่าไม้สักในเขตท้องที่ดังกล่าวเป็นทรัพย์สิน
            ล่าสัตว์ ตลอดจนการเก็บผลิตผลท่ได้จากป่า สมุนไพร กระวาน พริกไทย ส่วนของตน ผู้ใดจะท�าไม้สักในป่าท้องที่ใด จะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้า
                                      ี
              �
                                                         ื

            อาพันทอง  ไม้หอม งาช้าง และเขาสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น เพ่อการยังชีพ  ผู้ครองนครนั้น ๆ โดยยอมเสียเงิน ที่เรียกว่า “ค่าตอไม้” ตามจ�านวน
            คนไทยจึงคุ้นเคยกับใช้ประโยชน์จากป่าไม้โดยไม่มีข้อจากัด  แต่การ ต้นที่ตัดฟันลง โดยเจ้าของป่าจะส่งคนของตน ออกไปเก็บเงินค่าตอไม้
                                                        �
            จัดการเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ที่ได้จากป่าไม้นั้น ยังมิได้มีกฎเกณฑ์ใด จากผู้ตัดฟันตามก�าหนด แล้วน�าเอาเงินมาให้กับเจ้าของป่า เพื่อน�าขึ้น
            กาหนดแน่นอน  และมิได้อยู่ในความควบคุมของรัฐบาล  ราษฎรต่าง ถวายเจ้าผู้ครองนคร  ทั้งนี้  เจ้าผู้ครองนครจะแบ่งเงินจ�านวนนั้นออก
             �
                                ื
            ตัดฟันเอาไปใช้สอยหรือซ้อขายกันโดยเสรี  ผลประโยชน์จึงตกอยู่กับ เป็นสามส่วน  ได้แก่  ส่วนหนึ่งเป็นของเจ้าป่า  ส่วนที่สองให้กับคนเก็บ
            บุคคลบางกลุ่ม มิใช่รัฐบาลหรือประชาชนของประเทศโดยรวม      ค่าตอไม้ และส่วนท่สามเป็นของเจ้าผู้ครองนคร นอกจากน้ เจ้าผู้
                                                                                                                     ี
                                                                                     ี

                    ในปี พ.ศ. ๒๓๙๕ สมัยรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ. ๒๓๙๔ - ๒๔๑๑)  ครองนครจะยก ป่าใดในท้องที่ของตนให้แก่ผู้ใดก็ได้ และเมื่อเจ้าของ
            ภายหลังการท�าสนธิสัญญาบาวริ่ง (Bowring Treaty) ระหว่างอังกฤษ ป่าถึงแก่กรรมลงป่าไม้นั้นก็ตกเป็นทรัพย์สินอยู่ในกองมรดกด้วย
                                                                                        ั
            กับไทย  ส่งผลให้บรรดาบริษัทสัญชาติอังกฤษท่มีกิจการทาไม้สัก      แต่ในการทาไม้น้น มิได้มีการควบคุมให้ถูกต้องตามหลักทาง
                                                            �
                                                                                    �
                                                    ี
                             �
              ี
            ท่พม่าขยายกิจการทาไม้สัก เข้ามาทางภาคเหนือของประเทศไทย วิชาการ เช่น ไม่มีการก�าหนดว่าจะตัดไม้จากป่าใด เป็นจ�านวนเท่าใด
                                                                                  ่
                �
                                                                                    ี
                                                                                                                       �
            แต่อานาจการอนุญาตให้สัมปทานการทาไม้แก่ต่างชาติ ยังคงเป็น มีขนาดโตอย่างตาท่สุดเท่าใด หรือจะตัดฟันในตอนไหน ส่งผลทาให้
                                             �
                                                                                  �
            ของเจ้าผู้ครองนครฝ่ายเหนือท้งหมด                         ทรัพยากรป่าไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว
                                     ั
                                                                            นอกจากนี้ การอนุญาตให้ท�าป่าไม้ของผู้เป็นเจ้าของป่าต่างๆ
             ๔     สถานการณ์การท�าป่าไม้สักทางภาคเหนือ                 ก็มิได้เป็นไปโดยยุติธรรม เป็นเหตุให้มีขัดแย้งและการพิพาทระหว่าง
                   ยุคเจ้าผู้ครองนคร ในสมัยรัชกาลที่ ๔
                                                                     ผู้ขออนุญาต  ผู้รับอนุญาต  และเจ้าของป่าเสมอจนมีผู้เดือดร้อนย่น
                                                                      ื
                                                                                                ี
                    จากบันทึกต่าง ๆ พบว่าป่าสักมีมากทางภาคเหนือหรือทาง เร่องราวร้องทุกข์ต่อรัฐบาลสยามท่กรุงเทพฯ อยู่เสมอ  ื
 26                                                                                                                   27
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34