Page 19 - ปกงานวิจัย
P. 19
3) ต้องถามลึก (Searching) วัดความลึกซึ้งของวิทยาการตามแนวดิ่งมากกว่าการวัด
ี
ตามแนวกว้างว่ารู้มากน้อยเพยงใด
4 ต้องยั่วยุเป็นเยี่ยงอย่าง (Exemplary) ค าถามมีลักษณะ ท้าทายชักชวนให้คิดเด็ก
สอบแล้วมีความอยากรู้มากน้อยเพียงใด
5) ต้องจ าเพาะเจาะจง (Definite) เด็กอ่านค าถามแล้วต้องเข้าใจแจ่มชัดว่าครูถามถึง
อะไรหรือให้คิดอะไร ไม่ถามคลุมเครือ
ุ
ื
6 ต้องเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึงคณสมบัติ 3 ประการคอ
6.1) แจ่มชัดในความหมายของค าตอบ
6.2) แจ่มชัดในวิธีตรวจหรือมาตรฐานการให้คะแนน
6.3) แจ่มชัดในการแปลความหมายของข้อความ
7) ต้องมีประสิทธิภาพ (Efticiency) สามารถให้คะแนนที่เที่ยงตรงและเชื่อถือได้มาก
ที่สุดภายในเวลาแรงงานและเงินน้อยที่สุดด้วย
8) ต้องยากพอเหมาะ (Difliculty)
9) ต้องมีอ านาจจ าแนก (Discrimination) สามารถแยกเด็กออกเป็นประเภทได้ทุก
่
ระดับตั้งแต่ออนสุดถึงเก่งสุด
10) ต้องเชื่อมั่นได้ (Reliability) ข้อสอบนั้นสามารถให้คะแนนได้คงที่แน่นอนไมแปร
่
ผัน
จากการศึกษาคุณลักษณะแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีผู้วิจัยสรุปได้ว่าในการ
สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีนั้น ต้องผ่านการตรวจสอบความตรง ความเที่ยง
ความยากง่าย อ านาจจ าแนก ความเชื่อมั่น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงมีคณภาพ
ุ
6. ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
เขาวดี วิบูลข์ศรี (2548, หน้า 178-179) กล่าวถึงขั้นตอนสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนไว้ 4 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ก าหนดวัตถุประสงค์ทั่วไปของการสอบให้อยู่ในรูปของวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมโดย
ระบุเป็นข้อ ๆ และให้วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเหล่านั้นสอดคล้องกับเนื้อหาสาระทั้งหมดที่จะท าการ
ทดสอบด้วย
ขั้นที่ 2 ก าหนดโครงเรื่องของเนื้อหาสาระที่จะท าการทดสอบให้ครบถ้วน
ขั้นที่ 3 เตรียมตารางเฉพาะหรือผังของแบบทดสอบเพื่อแสดงถึงน้ าหนักของเนื้อหาวิชาแต่ละ
ส่วนและพฤติกรรมต่าง ๆที่ต้องการทดสอบให้เด่นชัดสั้นกะทัดรัดและมีความชัดเจน

