Page 63 - ประวัติศาสตร์การสงคราม
P. 63
61
กำลังออกไปอยา่ งกว้างไกลเพื่อใหข้ ้าศึกสับสนในเจตนาของพระองค์ บางครั้งก็ได้ให้ทหารม้าวิง่ ส่งเสียงอกึ ทึก
อยู่นาน ๆ ทำให้ข้าศึกไม่รู้ว่าพระองค์จะเอาอย่างไรกันแน่ ในการยุทธที่แม่น้ำ Hydaspes พระเจ้าอเล็กซาน
เดอรไ์ ดใ้ ห้กำลังส่วนใหญ่ตรงึ กำลังของกษตั รยิ ์ Porus ไว้ แล้วพระองคก์ บั ทหารชนั้ ดีจำนวนหนงึ่ ได้ขึน้ ไปทางตน้
น้ำไกล 18 ไมล์ ขา้ มแมน่ ำ้ ในเวลากลางคืนแล้วเขา้ โจมตที างออ้ มอย่างจู่โจม ทำให้ขวัญและกำลังใจของกองทัพ
ข้าศึกเสีย เกิดการสับสนอลหม่านไม่อาจสู้รบได้เป็นปึกแผ่น อย่างไรก็ดี การที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทรงใช้
กำลงั ส่วนนอ้ ยทำใหก้ ำลงั ท้ังกองทัพของข้าศกึ ต้องพา่ ยแพ้น้ี ถ้าทต่ี ง้ั และการวางกำลังไมเ่ อื้ออำนวยและเหมาะท่ี
จะกระทำแล้ว ท้ังในทฤษฎแี ละทางปฏิบัติ พระองคย์ อ่ มจะเส่ยี งตอ่ การพ่ายแพท้ างยุทธวธิ เี ป็นอย่างมาก
การสงครามในสมัย เจงกีสขา่ น
เจงกีสข่าน (Genghis Khan) ค.ศ.1167-1227 (พ.ศ.1710-1770) จอมจักรพรรดิมองโกล ผู้ยิ่งใหญ่
สามารถนำทัพเขา้ บุกและยดึ ครองดินแดนตั้งแตจ่ ีนจนถึงรสั เซียหรอื ตง้ั แต่ทะเลจนี จดทะเลดำ รวมประเทศใหญ่
น้อยถึง 10 ประเทศ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธใี นการใช้กำลังกองทัพมา้ เป็นที่เลื่องลือและเกรงขาม ทั้งในเอเซีย
และยุโรปสมัยน้ัน แม้ในปัจจุบันและอนาคตก็ยังสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความ
เจรญิ ก้าวหนา้ ของเทคโนโลยแี ละอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ได้เป็นอยา่ งดี
เจงกีสข่านประสูติเมื่อปี พ.ศ.1710 (บางหลักฐานบอกว่า พ.ศ.1715) เป็นตอนท่ี เยซุไก บาอตูร์
(Yesugei Batu) หัวหน้าเผ่าคิยาทบิดาของเจงกีสข่านได้ฆ่าหัวหน้าเผ่าตาร์ชื่อ เตมูจิน (Temujin) จึงตั้งชื่อ
เจงกีสข่านว่า เตมูจิน (Temujin) เหมือนกัน ด้วยความเชื่อว่าความกล้าหาญของขา้ ศึกจะมาเข้าอยู่ในตัวเด็กที่
เพิ่งเกิดใหม่ เตมูจิน แปลว่า ช่างเหล็ก เลยทำให้กล่าวขานกันว่า เจงกีสข่าน เคยเป็นช่างเหล็กมาก่อน พอ
พระชนม์มายุได้ 13 พรรษา ก็ได้เป็นหัวหน้าเผ่าสืบทอดบิดาซึ่งถึงแก่กรรมแแต่งงานกับบูไต(Burte) มีบุตร
4 คน คือ จูจิ (Jochi) ซากาไท (Chaghatai) โอกาได (Ogadei) ทลู ิ (Tolui)
พระองค์ได้สถาปนาตนเองเป็น เจงกสี ขา่ น (หัวหน้าผู้ย่ิงใหญ่) เมือ่ พระชนม์มายุ 33 พรรษา เจงกสี ข่าน
ไม่ได้รับการศึกษา ไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่เคยเป็นลูกศิษย์ของขุนพลใด และไม่เคยมีอาจารย์สอนพิเศษให้ แต่
เจงกีสข่านกับแม่ทัพนายกองของมองโกล (Mongol) ก็ได้ใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เรียนจากประสบการณ์
และสามญั สำนกึ ในการยุทธทุกคราวอย่างชาญฉลาด ทำใหส้ ามารถมีอาณาจักรกว้างใหญไ่ พศาล จากเกาหลีไป
จนถงึ เปอร์เซยี หรืออิหร่านในปัจจุบนั และต่อมาภายหลงั ยังไดแ้ ผ่ขยายเข้าไปถึงยโุ รปตะวันออก โดยลูกหลาน
ของเจงกีสข่านและนายพล มองโกลชื่อ สุโบไต (Subotai) บางหลักฐานชื่อ บาตู (Batu) ซึ่งได้ใช้ยุทธศาสตร์
และยุทธวิธี ของเจงกีสข่านนั่นเอง การแผ่ขยายอาณาจักรของเจงกีสข่าน ได้มุ่งสู่ตะวันตกมากกว่าจะยึด
อาณาจักรต่าง ๆ ของจีน เจงกีสข่านเคยบุกเข้าจีนจนถึงปักกิ่ง แต่ก็ไม่พยายามที่จะโจมตีการเข้ายึดครองจนี
ต่อจากนั้นเจงกีสข่านใช้แม่ทัพของท่านจัดการอาณาจักรซุงบนฝั่งแม่น้ำแยงซี (Yangtze) อาณาจักรซุง ก็ยัง
ไม่ได้ตกอยู่ใต้การปกครองของมองโกล จนกระทั่งมาถึงรุ่นหลานของเจงกีสข่าน คือ กุบไลข่าน (Kublaikhan)
(พ.ศ.1759-1837) ราชวงศ์ซุงถงึ ได้ถูกโค่นลงในปี พ.ศ.1822
ในปี พ.ศ.1762-1768 เป็นช่วงที่เจงกีสข่านทำสงครามใหญ่และไกลจากมองโกเลียมากทีเดียว
เจงกีสข่านเป็นผใู้ ชห้ ลกั ยทุ ธศาสตร์ในการรเิ ริ่มอยา่ งไมม่ ีแม่ทัพคนใดในประวตั ศิ าสตร์เทียบเทา่ กองทัพมองโกล

