Page 67 - ประวัติศาสตร์การสงคราม
P. 67

65

เป็นน้ำแข็ง เข้ายึดเมือง เอสเทอร์กอร์ม (Esztergorm) ขณะที่กองทัพของพระองค์กำลังบุกเข้าโปแลนด์
โอเกไดก็สน้ิ พระชนมเ์ มือ่ 11 ธันวาคม พ.ศ.1784) ชากาได เคล่อื นกำลงั ไปทางตะวันตก มงุ่ สเู่ มืองป้อม Otar
สว่ นกองทัพที่ 4 นำโดยเจงกีสข่านกบั สโุ บไต เคลอ่ื นกำลังไปทางตะวนั ตกเปน็ วงกว้าง เพ่ือท่ีจะรุกเข้าตีเมือง
Bukhara จากทางด้านตะวันตก เจงกีสข่านหวังที่จะจู่โจมทำให้ข้าศึกสับสน โดยการเข้าตีเป็นวงกว้างจาก 4
ทิศทาง

      ขณะที่ซาห์ทราบข่าวว่า เมือง โคเฮ็น (Khojend) ถูกกองทัพจูจิตีแตกแล้ว และกองทัพของเจบกิ ำลัง
รุกเข้าหา สามาข่าน (Samarkand) จากทางใต้นั้น ตัวท่านยังอยู่ท่ี บูคารา (Bukhara) ซาห์จึงรวมกำลัง
กองหนุน 50,000 คน มุ่งสู่ Samarkand เมอื งหลวง เพือ่ หยุดการรุกของเจบิ แตก่ ำลังของเจบกิ ็ตัดเส้นทางของ
กองทัพซาห์ซึ่งใหญ่กว่าได้สำเร็จ ทำให้ซาห์เริ่มต้นตระหนักเพราะไม่อาจจะเผชิญกับการรุกของเจบิโดย
เนื่องจากกำลังในแนวตั้งรับตาม แม่น้ำ Syr Darya ได้ถูกตรึงอยู่กับที่ และถูกทำลายย่อยยับโดยความ
คล่องแคล่วท่เี หนอื กว่าของกองทพั จูจิ คร้ันจะดึงกำลงั จากเมืองหลวง กำลังกจ็ ะหมดไมม่ ีการป้องกันเลย

      เจงกีสข่านเคลื่อนกำลังเข้าหาเมือง Bukhara โดยข้ามทะเลทราย คึเซคัม (Kyzyl KumX ซึ่งทางฝ่าย
ซาห์เชื่อว่ากระทำไมไ่ ด้ นับว่าการจู่โจมของเจงกีสข่านบรรลุผลโดยสมบูรณ์ เจงกีสข่านเข้าเมือง Bukhara ได้
เมอ่ื 11 เมษายน พ.ศ.1763 แล้วเคลือ่ นกำลงั ตอ่ ไปทางตะวนั ออกสู่เมือง Samarkand ขณะเดียวกนั กบั กองทพั
ของโอเกไดและซากาไตรกุ เขา้ มาจากทางเหนอื จูจิจากทางตะวันออก และเจบจิ ากทางใต้ ในที่สดุ Samarkand
ที่มั่นสุดท้ายของซาห์ก็ถูกกองทัพมองโกลที่บีบเข้ามาจาก 4 ด้านตีแตก เจงกีสข่านได้สิ้นพระชนม์ในระหว่าง
ทางกลบั ไปมองโกเลีย ในปี พ.ศ.1770 แต่บางหลกั ฐานก็บอกว่าในระหว่างการยกกองทพั ไปตีอาณาจักร ตังกุท
(Tanggut) หรือ Hsia ของจีน นัยว่าเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจากการตกม้าระหว่างที่ไปล่าสัตว์
หลังจากท่ี เจงกสี ขา่ นส้ินพระชนม์ไปราว 150 ปี อาณาจักรต่าง ๆ ท่มี องโกลเข้ายึดและครอบครอง ตา่ งก็ทยอย
กนั หลุดพน้ จากอำนาจของมองโกล และแยกตัวไปเปน็ อิสระเช่นเดมิ

      ด้วยเวลาเพียง 5 เดือน เจงกีสข่านสามารถทำลายกองทัพ 400,000 คน โค่นจักรวรรดิ์ขะวาริซเมียน
และเปิดประตูทางตะวนั ตกไปสู่ยุโรปได้สำเร็จ ในสงครามคราวนี้เจงกีสข่านได้ดำเนนิ กลยุทธ์ และใช้หลักการ
สงครามอย่างล้ำเลิศ แต่น่าเสียดายที่ประวัติการรบของกองทัพมองโกลส่วนมากบันทึกไว้โดยข้าศึ กของ
มองโกลเอง จึงย่อมจะมกี ารบดิ เบอื นหรือไม่ยอมกล่าวอยา่ งตรงไปตรงมา ถึงอัจฉรยิ ะและความห้าวหาญของผู้
ที่เป็นศัตรู ต่อเมื่ออีกหลายร้อยปีภายหลังเมื่อสงครามเกิดขึ้นบ่อย ๆ นักการทหารอาชีพจึงได้เริ่มศึกษา
ประวัติศาสตร์การสงครามกัน เพื่อค้นหาหลักการสงคราม ยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี นั่นแหละการยุทธของ
กองทัพมองโกล จึงได้ถูกนำมาศึกษาพิจารณากันมากขึ้น คัสตาวัส อดอลฟัส และนโปเลียน ก็สนใจศึกษา
การทำสงครามของมองโกล นายทหารม้ารัสเซียก็ศึกษาเล่าเรียนเรื่องนี้เหมือนกัน ตั้งแต่ในตอนต้น
คริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนสงครามโลกครง้ั ท่ี 1 เมื่อปี พ.ศ.2470 ลิดเดลท์ ฮารท์ เขียนไว้วา่ รถถงั และเคร่ืองบิน
กค็ ือ ทายาทและผสู้ ืบทอดของทหารม้ามองโกลสงครามสมัยใหม่ที่ใชก้ ารโอบทางด่ิงโดยการยุทธส่งทางอากาศ
หรอื หน่วยพลรม่ ก็นบั ว่าเปน็ อกี มิตหิ นง่ึ ที่เพิ่มขน้ึ จากการยุทธของมองโกลนน่ั เอง ผู้บญั ชาการหมู่กองทัพ ท่ีทำ
สงครามเคลื่อนที่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สองท่าน คือ จอมพลรอมเมล (Rommel) และพลเอกแพตตัน
(Patton) กไ็ ดศ้ ึกษาการยุทธของมองโกลอย่างละเอียด และชนื่ ชมสโุ บไต แมท่ ัพมองโกลผูย้ งิ่ ใหญอ่ ยา่ งมาก
   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72