Page 62 - หนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย ประถม
P. 62
53
ตัวชี้วัดหนึ่งของคนพูดภาษาไทยสยามส าเนียงสุโขทย ในชุมชนทอยู่นอกเหนือพื้นทจังหวัด
ี่
ั
ี่
สุโขทย เช่น ต าบลสะเดียง อ าเภอเมือง เพชรบูรณ์ ชุมชนรอบ ๆ วัดพระมหาธาตุเมืองฝาง
ั
ุ่
สวางคบุรี ต าบลผาจุก อ าเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ ต าบลทงยั้ง อ าเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
ั
ี่
ซึ่งชุมชนตัวอย่างนี้พูดภาษาไทยสยามส าเนียงสุโขทย และมีพิธีกรรมมงคลสมรสทเรียกว่า
“กินสี่ถ้วย” ต่างไปจากพิธีมงคลสมรสของชาวล้านนา ชาวล้านช้าง หรือชาวจีน และชาวอินเดีย
1.7 ดนตรีไทยและดนตรีพื้นบ้านสมัยสุโขทัย
มีค าทพบในจารึกหลักท 1 ศิลาจารึกพ่อขุนรามค าแหงมหาราช ด้านท 2 บรรทด
ั
ี่
ี่
ี่
ี่
ท 18 – 19 กล่าวว่า “ด้วยเสียงพาดเสียงพิณ เสียงเลื้อนเสียงขับ”
ในกลุ่มค าคู่แรก คือ “เสียงพาดเสียงพิณ” แยกออกได้เป็น 2 ค า คือ เสียงพาดหรือ
เสียงพาทย์ เป็นเสียงเครื่องดนตรีประกอบเครื่องตี และเสียงพิณ เป็นเครื่องดนตรีประเภท
เครื่องดีด กลุ่มค าคู่หลัง คือ “เสียงเลื้อนเสียงขับ” แยกได้ออกเป็น 2 ค า เช่นเดียวกัน หมายถึง
การร้องเพลง 2 ประเภท กล่าวคือ เสียงเลื้อน หมายถึง การเล่นเพลงตอบโต้โดยใช้ไหวพริบ
ปฏิภาณ และความรู้รอบตัว สร้างบทเพลงแบบกลอนสด ร้องตอบโต้กัน มีลูกคู่ในฝ่ายของ
คนร้องประกอบ ไม่ต้องการเครื่องดนตรีนอกจากการให้จังหวะโดยการปรบมือ ส่วน เสียงขับ
หมายถึง การร้องเพลงร่วมกับดนตรีที่เรียกกันทั่วไปในปัจจุบันว่า ร้องส่ง
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ให้ความหมายว่า เลื้อน หมายถึง
ร้องเอื้อน หรือ ขับ หมายถึง ร้องเป็นเนื้อ
ี่
เครื่องดนตรีไทยในสมัยสุโขทย ได้แก่ วงแตรสังข์ ทใช้บรรเลงในพระราชพิธีต่าง ๆ
ั
ึ
ประกอบด้วย แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลองชนะ บัณเฑาะว์ และมโหระทก วงปี่พาทย์เครื่องห้า
ประกอบด้วย ปี่ใน ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด และฉิ่ง นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดนตรี เช่น พิณ และ
ซอสามสาย อยู่ในสมัยนั้นอีกด้วย
(ที่มาภาพ : https://thaimusicyoume.wordpress.com)

