Page 21 - หนังสือการเลี้ยงโคเนื้อ
P. 21
การเลียงโคเนือ 16
้ ้
์
2. กลุ่มไบโบวไวน (Bibovine) ได้แก่ โคปาในแถบอินโด-มาเลย์หรือบันเตง(banteng) กระทิง
่
้
หนาเพิก(gaur) และกายาล(gayal) วัวแดง(Bos javanicus
็
่
birmanicus)ซึงเปนวัวปาของไทยนาจะจัดอยู่ในกลุ่มนี
้
่
่
วัวแดง
ภาพวาดโคไบซันยุคหินเก่า
พบบนแผ่นหิน
ุ
์
ั
3. กลุ่มเลปโตโบไวน (Leptobovine) ปจจบันสูญพันธุ์ไปแล้ว พบแต่ฟอสซิลในประเทศฝรั่งเศส
อิตาลี และอินเดีย
่
์
4. กลุ่มไบซันไทน (Bisontine) ได้แก่โคปาไบซัน(bison)ในอเมริกา และจามรี(yak)
้
์
5.กลุ่มบิวบาไลน (Bubaline) ได้แก่กระบือปลักในเอเชียและกระบือแม่นาในยุโรปและอัฟริกา
่
์
ทีมาของพันธุโค
พันธุ์สัตว์ คือ “กลุ่มของสัตว์ชนิด(species)เดียวกันที่มีต้นก ำเนิดร่วมกันและมีลักษณะภำยนอก
ที่คล้ำยกันจนสำมำรถใช้จ ำแนกออกจำกสัตว์กลุ่มอื่นได้” ดังนั้นเมือก ำจัดลักษณะภำยนอกออกไป เช่น
่
ลอกหนังออก ก็ยำกทีจะจ ำแนกควำมแตกต่ำงระหว่ำงพันธุ์ได้ ข้อจ ำกัดต่ำงๆ เช่น สภำพภูมิศำสตร์(เช่น
่
ภูเขำ ทะเล) กฎเกณฑ์ต่ำงๆ(เช่น กำรห้ำมขำยสัตว์พันธุ์ดี) และสภำพสังคม ท ำให้เกิดพันธุ์ต่ำงๆ ในด้ำน
่
พันธุศำสตร์กำรอยูโดดเดียว(isolation)ท ำให้พันธุกรรมแตกต่ำงกัน อำจท ำให้ควำมแตกต่ำงทำง
่
พันธุกรรมภำยในพันธุ์เดียวกันมีมำกกว่ำควำมแตกต่ำงระหว่ำงพันธุ์ก็ได้
โคทีเลี้ยงในปจจุบันมาจากการนาโค
่
ั
่
้
่
ป าม าเลีย งให้ เชือ ง(domestication) มี
่
หลักฐานว่าได้มีการนาโคปามาเลียงตั้งแต่
้
8,000 ปก่อนคริสต์กาล ดังนั้นพันธุกรรม
ี
่
ของโคเลี้ยงจึงมีเช่นเดียวกับโคปา แต่การที ่
้
่
โคปาถูกนามาเลียงมีผลท าให้พันธุกรรม
่
เปลียนแปลงไปเนืองจาก
่
ี
์
ชาวอยิปตโบราณตอนโคไปขายตลาดนด
้
ั
กลุ่มวิจัยและพัฒนาโคเนือ กองบ ารุงพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์
้

