Page 12 - โครงงาน เรื่อง การศึกษากลวิธีการตั้งชื่อและความหมายของชื่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนทีปราษฎร์พิทยา
P. 12

6


               เป็นภาษาเก่าแก่ การใช้ภาษาและลักษณะของภาษาแตกต่างไปตามท้องถิ่นและยุคสมัยหากพิจารณาตาม

               ลักษณะทางค าศัพท์และไวยากรณ์ อาจแบ่งเป็น 3 ยุค อย่างคร่าวๆ คือ
                              1. ภาษาพระเวท (Vedic Sanskrit) น่าจะอยู่ราว 500-1000 ปีก่อนคริสตกาล

               เป็นภาษาที่พบได้ในคัมภีร์ฤคเวท สังหิตา, มันตระในพระเวทต่างๆ รูปไวยากรณ์มีความหลากหลาย ตามส านัก

               และท้องถิ่น มีลักษณะเด่นคือการเน้นเสียง (accent) ของค า และมาลา (Mood) บางอย่างที่ไม่ปรากฏในยุค
               หลัง ภาษาพระเวท ซึ่งเก่าแก่มาก เป็นภาษาที่ใช้ในวรรณคดีพระเวทรุ่นเก่าที่สุด และภาษาแบบแผน คือช่วง

               หลังพระเวท สมัยพุทธกาลลงมา ปรากฏในวรรณคดีส่วนใหญ่ที่เรารู้จัก รามายณะและมหาภารตะก็อยู่ในกลุ่ม

               หลังนี้ อย่างไรก็ตามยังมีการแบ่งกลุ่มภาษาสันสกฤตผสม หรือสันสกฤตในพุทธศาสนาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งปรากฏ

               ในสมัยหลัง ภาษาแต่ละแบบนั้นมีคาศัพท์และไวยากรณ์ในแนวทางเดียวกัน แต่แตกต่างในส่วนปลีกย่อย ต ารา
               ภาษาสันสกฤตเบื้องต้นจึงเริ่มที่ภาษาสันสกฤตแบบแผน ซึ่งมีไวยากรณ์ค่อนข้างแน่นอนตายตัว

                              2. ภาษาสันสกฤตแบบแผน (Classical Sanskrit) อยู่ในช่วงปลายสมัยพระเวทลงมา
               ไวยากรณ์มีแบบแผน รัดกุม มีการแต่งไวยากรณ์ภาษาสันสกฤตแบบแผนมากมาย ส่วนหนึ่งก็เพื่อจัดระเบียบ

               หรือหารูปแบบที่ชัดเจน คัมภีร์ไวยากรณ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด น่าจะเป็นต าราแปดเล่มของปาณินิ

               ด้วยความเป็นระบบระเบียบนี้เอง ภาษาสันสกฤตแบบแผนจึงอาจจะศึกษาเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็ว เนื่องจาก
               ทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกา (พร้อมกับข้อยกเว้น) ท าให้มีการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือสังเคราะห์

               ไวยากรณ์อย่างหลากหลาย (การเขียนกฎไวยากรณ์ของภาษายุคอื่นท าได้ยาก และยุ่งยากกว่ามาก)ส านักเรียน

               ส่วนใหญ่จึงให้เรียนภาษาสันสกฤตแบบแผน ก่อนจะไปเรียนภาษาสันสกฤตแบบอื่น เอกสาร ต าราไวยากรณ์
               และพจนานุกรม ภาษาสันสกฤตส่วนใหญ่จะใช้ภาษาสันสกฤตแบบแผนเป็นหลัก

               ภาษาสันสกฤตแบบแผน เกิดขึ้นจากการวางกฎเกณฑ์ของภาษาสันสกฤตให้มีแบบแผนที่แน่นอนในสมัยต่อมา

               โดยนักปราชญ์ชื่อปาณินิตามประวัติเล่าว่าเป็นผู้เกิดในตระกูลพราหมณ์แคว้นคันธาระราว 57 ปีก่อนพุทธ
               ปรินิพพานบางกระแสว่าเกิดราวพ.ศ.๑๔๓ปาณินิได้ศึกษาภาษาในคัมภีร์พระเวทจนสามารถหาหลักเกณฑ์ของ

               ภาษานั้นได้ จึงจัดรวบรวมขึ้นเป็นหมวดหมู่ เรียบเรียงเป็นต าราไวยากรณ์ขึ้น 8 บทให้ชื่อว่าอัษฏาธยายีมีสูตร

               เป็นกฎเกณฑ์อธิบายโครงสร้างของค าอย่างชัดเจน นักวิชาการสมัยใหม่มีความเห็นว่า วิธีการศึกษาและอธิบาย
               ภาษาของปาณินิเป็นวิธีวรรณนา คือศึกษาและอธิบายตามที่ได้สังเกตเห็นจริง มิได้เรียบเรียงขึ้นตามความเชื่อ

               ส่วนตัว มิได้เรียบเรียงขึ้นตามหลักปรัชญา คัมภีร์อัษฏาธยายี จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นต าราไวยากรณ์เล่มแรก

               ที่ศึกษาภาษาในแนววิทยาศาสตร์และวิเคราะห์ภาษาได้สมบูรณ์ที่สุด]ความสมบูรณ์ของต าราเล่มนี้ท าให้เกิด
               ความเชื่อในหมู่พราหมณ์ว่า ต าราไวยากรณ์สันสกฤตหรือปาณินิรจนานี้ ส าเร็จได้ด้วยอ านาจพระศิวะอย่างไรก็

               ตาม นักภาษาศาสตร์เชื่อว่าการวางแบบแผนอย่างเคร่งครัดของปาณินิ ถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ท าให้ภาษา

               สันสกฤตต้องกลายเป็นภาษาตายอย่างรวดเร็วก่อนเวลาอันควร เพราะท าให้สันสกฤตกลายเป็นภาษาที่ถูก
               จ ากัดขอบเขต (a fettered language) ด้วยกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ที่เคร่งครัดและสลับซับซ้อน ภาษา

               สันสกฤตที่ได้ร้บการปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์ให้ดีขึ้นโดยปาณินินี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เลากิกภาษา” หมายถึง

               ภาษาที่ใช้กับสิ่งที่เป็นไปในทางโลก
   7   8   9   10   11   12   13   14   15   16   17