Page 46 - นาวิกศาสตร์ ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๖๔
P. 46
ี
�
ั
สยามประเทศให้เจริญก้าวหน้าตามบทบาทหน้าท่ และขีดความสามารถท่จะกระทาได้น้น คงจะเป็นพระปณิธานท ่ ี
ี
ั
ั
พระองค์ทรงยึดม่นอยู่ในพระทัยเสมอมา ส่งผลให้พระกรณียกิจทุกอย่างท้งในและนอกราชการทหารเรือ
ล้วนผ่านการทรงไตร่ตรองถึงผลประโยชน์สูงสุดอันจะเกิดแก่สังคมวงกว้าง ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงกล้าท่จะ
ี
แสดงความคิดเห็นอันแน่วแน่ต่อผู้บังคับบัญชา เพ่อทรงแสดงออกซ่งเจตจานงของพระองค์ ดังเช่น ลายพระหัตถ์
ึ
�
ื
กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ ระหว่างทรงอ�านวยการ
จัดตั้งหน่วยฝึกที่บางพระ เพื่อเรียกพลทหารจากจังหวัดชายทะเลภาคตะวันออกมารับการฝึก ความตอนหนึ่งว่า
“… มีทหารแล้วไม่สอนให้มีความรู้ ก็เลวกว่าไม่มีเลย …”
ั
ี
ื
หรืออีกคร้ง ระหว่างเสด็จไปทรงซ้อเรือหลวงพระร่วง ทรงมีลายพระหัตถ์ลงวันท่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ กราบทูล
จอมพลเรือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ก�ากับราชการกระทรวงทหารเรือ ระหว่างประทับ ณ
โฮเต็ลรูเบนซ์ กรุงลอนดอน ความตอนหนึ่งว่า
“… การที่เดินทางผิด ให้โทษยิ่งกว่าไม่เดินเลย …”
�
ี
นอกจากพระอุปนิสัยเด็ดเด่ยว ไม่ทรงเกรงกลัวท่จะกราบทูลพระดาริต่อผู้บังคับบัญชาแล้ว พระดาริต่าง ๆ ของพระองค์
�
ี
ยังสะท้อนถึงแนวทางการด�ารงพระองค์ในแง่มุมอื่น ๆ อีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความมัธยัสถ์ ค�านึงถึงความคุ้มค่า
�
�
ั
คิดหาหนทางสร้างคุณประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรท่จากด (Force Multiplier) ดังเช่น พระดาริท่ประชุมสภา
ี
ี
บัญชาการกระทรวงทหารเรือ ครั้งที่ ๔ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๕
“… ในการที่กล่าวว่า คนไม่พอ ไม่พอนั้น หมายความว่า อัตราเท่าใดจะต้องได้คนเท่านั้นมิใช่หรือ อัตรานั้น
ั
ต้องเข้าใจว่าอุปมาเหมือนงบประมาณ เราต้งงบประมาณเงินไว้ใช้จ่าย ใช่ว่าจะต้องใช้จ่ายเงินให้หมดไปตามจานวน
�
�
น้นเม่อไหร่ … ฯลฯ … อัตราคนก็เช่นเดียวกัน เราไม่จาเปนต้องเกณฑ์คนให้เต็มจานวนตามอัตรา ถ้าจะเอาเต็มอัตรา
ื
�
ั
ที่จะไม่มีให้อยู่ จะเปลืองค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกมาก … ฯลฯ … การเกณฑ์คนเข้ามามาก ๆ นั้นเปนการเดือดร้อน
แก่ไพร่บ้านพลเมืองโดยใช่เหตุ เวลาน้คนก็มากพออยู่แล้ว นอนกินอยู่เสมอ ต้องคิดถึง Economic Point
ี
หลักแห่งการประหยัดทรัพย์บ้าง …”
ี
ึ
ิ
ี
อีกมุมหน่งในพระดาริ แสดงถึงว่าพระองค์จะทรงมีพระอุปนิสัยเด็ดเด่ยว และชัดเจนในส่งท่ต้งพระทัยเพียงใด แต่ก ็
ั
�
ี
มิได้ทรงทะนงยึดม่นในองค์ความรู้เดิม ๆ ท่เคยทรงศึกษา แต่กลับทรงสนพระทัยท่จะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ี
ั
และทรงกล้าที่จะแสดงออกถึงข้อบกพร่องของพระองค์เองโดยไม่ปิดบัง เช่น ในลายพระหัตถ์ลงวันที่ ๑๓ มกราคม
�
พ.ศ. ๒๔๖๒ กราบทูลเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ ขออนุมัติเสด็จพระราชดาเนินไปต่างประเทศเพ่อจัดหาเรือรบ
ื
และทรงศึกษาความก้าวหน้าในวิทยาการทหารเรือเพิ่มเติม
“… โดยรู้สึกว่า มาบัดนี้เปนเสนาธิการทหารเรือเหมือนงมมืดแปดด้าน เฉพาะสรรพาวุธยุทธวิธีทางเรือตั้งแต่
ี
ี
ิ
ได้เร่มการมหาสงครามมาจนบัดน้ได้เปล่ยนแปลงมากมายเหลือท่จะพรรณนา ได้แต่สังเกตตามข่าวการต่อเรือ
ี
็
ี
�
ั
ี
ประจ�าสถานี เดาทางตามหลงว่า การรบทางทะเลเปล่ยนแปลงมาเปนดงน้นดังน้ แต่กเหมือนตาบอดจึงทาประโยชน ์
ั
ั
สนองพระเดชพระคุณได้โดยลาบากใจอย่างท่สุด จนแม้แต่จะแนะนาส่งใดสาหรับกระทรวงทหารเรือก็เปนอย่าง
�
�
ิ
ี
�
โบราณเสียโดยมาก ถ้ามิฉะนั้นเป็นการเดาทั้งสิ้น …”
นอกจากน้ยังมีลายพระหัตถ์ลงวันท่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๒ กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
ี
ี
ี
ึ
ี
เจ้าอยู่หัว ช้แจงเหตุผลท่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จไปทอดพระเนตรกิจการทหารเรือในต่างประเทศ ซ่ง
สะท้อนถึงพระคุณลักษณะในการทรงแสวงหาความรู้แบบ “เรียนรู้ตลอดชีวิต” รวมทั้ง พระจริยวัตร “กินอยู่ง่าย
ไม่ถือตัว” ของพระองค์ไว้อย่างแจ่มชัด
นาวิกศาสตร์ 44
ปีที่ ๑๐๔ เล่มที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๔

