Page 5 - ประวัติ พระอนุสาวรีย์ พระตำหนัก ศาลพระรูป ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงค์ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
P. 5
ก – ๓
ั
หลังจากทรงส าเร็จการศึกษาวิชาการทางด้านทหารเรือจากประเทศองกฤษแล้ว ก็เสด็จกลับประเทศไทย
ี
โดยทางเรือ ปรากฏรายละเอยดในหนังสือราชกิจจานุเบกษา ความว่า “ได้เสด็จกลับมาลงเรือเมล์เยอรมันชื่อ
“เบเยน” ที่เมืองเยนัว เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๙ วันที่ ๗ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙
ั
ถึงเมืองสิงคโปร์ หลวงภักดีบรมนารถและหลวงสุนทรโกษา ได้ออกไปรับเสด็จ ได้เสด็จพกอยู่ที่เมืองสิงคโปร์
คืนหนึ่ง รุ่งขึ้นวันที่ ๘ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ ได้เสด็จลงเรือเมล์ชื่อ “สิงคโปร์” ออกจากเมืองสิงคโปร์
ต่อมาวันที่ ๑๑ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ เวลาทุ่มเศษถึงปากน้ า โปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นพทยลาภพฤฒิธาดา และ พระยาสีหราชเดโชไชย
ิ
หลวงประดิยัตินาวายุทธ น าเรือสุริยมณฑล ออกไปคอยรับเสด็จอยู่ในที่นั้น แล้วทรงเรือไฟมาขึ้นที่เมืองสมุทรปราการ
ทรงรถไฟจากที่นั้นมาถึงสเตชั่นวัวล าพองเวลายามเศษ แล้วเสด็จทรงรถต่อไป พระบาทสมเด็จ
ื่
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชด าเนินโดยรถพระที่นั่ง เพอเสด็จไปรับพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้า
อาภากรเกียรติวงศ์ ที่สเตชั่นรถไฟ พอเสด็จถึงแล้ว พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
ได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในรถพระที่นั่ง ที่ถนนเจริญกรุง แล้วเสด็จกลับพระบรมมหาราชวัง
ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑๒ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ เวลาสองทุ่มเศษ โปรดเกล้าฯ ให้มีการเลี้ยง
พระบรมวงศานุวงศ์ พระราชทานเป็นพระเกียรติแก่พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
ที่พลับพลาสวนดุสิตด้วย
เสด็จในกรมฯ จึงนับเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ที่ได้เสด็จไปทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารเรือยังต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชด าริว่า กิจการทหารเรือไทยเท่าที่ได้เป็นอยู่ขณะนั้น ต้องอาศัย
ั
ชาวต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชาการเรือและป้อมอยู่เป็นอนมาก จึงไม่สู้จะมีความมั่นคงเท่าใดนัก ดังจะเห็นได้
จากเหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) เป็นตัวอย่างอนดี ฉะนั้นจึงนับว่าเป็นพระราชด าริที่เหมาะสมในการส่ง
ั
พระราชโอรส ไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือในครั้งนี้
ทรงรับราชการทหารเรือ
หลังจากที่เสด็จในกรมฯ เสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ในวันที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ จึงได้รับ
พระราชทานยศเป็นนายเรือโท (เทียบเท่านาวาตรีในปัจจุบัน) ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จะให้เป็น
ผู้บังคับการเรือปืนที่ก าลังจัดซื้อคือ เรือหลวงพาลีรั้งทวีป หรือ เรือหลวงสุครีพครองเมือง ล าใดล าหนึ่ง ในขั้นแรก
ทรงรับราชการ ในต าแหน่ง “แฟลคเลบเตอร์แนล” (นายธง) ของผู้บัญชาการกรมทหารเรือ คือ พระเจ้าน้องยาเธอ
ื่
กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม เพอทรงเป็นที่ปรึกษาในกิจการทหารเรือ และทรงปฏิบัติราชการต่าง ๆ ที่ทรง
ได้รับมอบหมาย พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงให้เสด็จในกรมฯ ไปส ารวจการป้องกันล าน้ า
เจ้าพระยา และพระองค์ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายงานของเสด็จในกรมฯ แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๔๓ โดยละเอียด ทรงริเริ่มก าหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ
ตลอดจนเริ่มฝึกพล “พลอาณัติสัญญาณ” (ทัศนสัญญาณ) ขึ้นเป็นครั้งแรกในปีนี้ ทหารเหล่าทัศนสัญญาณ
จึงเป็นทหารเรือรุ่นแรกที่เสด็จในกรมฯ ทรงฝึกสอนและประทานก าเนิด ทหารเหล่าทัศนสัญญาณจึงเป็นปฐมศิษย์
ของเสด็จในกรมฯ และเป็นทหารเรือรุ่นแรกหรือชุดแรก ที่ทรงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ทรงพอพระทัยในการ
ปฏิบัติงานของเสด็จในกรมฯ มาก ทรงยกย่องว่าทรงมีความรู้จริง และมีความกระตื้อรือร้นที่จะท างาน

