Page 143 - ทักษะการเรียนรู้ (ทร31001) ม.ปลาย
P. 143

133

        “การท่ีเรามีการจัดการความรู้ในตัวเอง จะพบว่าความรู้ในตัวเราที่คิดว่าเรามีเยอะแล้ว เป็ นจริง ๆ
แล้ว ยงั น้อยมากเม่ือเทียบกบั บุคคลอ่ืน และหากเรามีการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่น จะพบว่า มี
ความรู้บางอย่างเกิดขึน้ โดยท่ีเราคาดไม่ถึง และหากเราเห็นแนวทางมีความรู้ แล้วไม่นาไปปฏิบัติ ความรู้น้ัน
กจ็ ะไม่มีคุณค่าอะไรเลย หากนาความรู้น้นั ไปแลกเปล่ียน และนาไปสู่การปฏิบัติที่เป็ นวงจรต่อเน่ือง ไม่รู้จบ
จะเกิดความรู้เพ่ิมขึน้ อย่างมาก หรือท่ีเรียกว่า “ย่ิงให้ ย่ิงได้รับ”

หลกั การของการจัดการความรู้

        การจดั การความรู้ ไม่มีสูตรสาเร็จในวธิ ีการของการจดั การเพ่ือใหบ้ รรลุเป้ าหมายในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
แต่ข้ึนอยกู่ บั ปณิธานความมุ่งมนั่ ที่จะทางานของตนหรือกิจกรรมของกลุ่มตนใหด้ ีข้ึนกวา่ เดิม แลว้ ใชว้ ิธีการ
จดั การความรู้เป็ นเครื่องมือหน่ึงในการพฒั นางานหรือสร้างนวตั กรรมในงาน มีหลกั การ สาคญั 4 ประการ
ดงั น้ี

        1. ให้คนหลากหลายทักษะ หลากหลายวธิ ีคิด ทางานร่วมกนั อย่างสร้างสรรค์ การจดั การความรู้
ที่มีพลงั ตอ้ งทาโดยคนท่ีมีพ้ืนฐานแตกต่างกนั มีความเชื่อหรือวิธีคิดแตกต่างกนั (แต่มีจุดรวมพลงั คือ มี
เป้ าหมายอยทู่ ี่งานดว้ ยกนั ) ถา้ กลุ่มท่ีดาเนินการจดั การความรู้ประกอบดว้ ยคน ท่ีคิดเหมือน ๆ กนั การจดั การ
ความรู้จะไม่มีพลงั ในการจดั การความรู้ ความแตกตา่ งหลากหลาย มีคุณค่ามากกวา่ ความเหมือน

        2. ร่วมกันพัฒนาวิธีการทางานในรูปแบบใหม่ ๆ เพ่ือบรรลุประสิทธิผลที่กาหนดไว้
ประสิทธิผลประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 4 ประการ คือ

           2.1 การตอบสนองความตอ้ งการ ซ่ึงอาจเป็นความตอ้ งการของตนเอง ผรู้ ับบริการ
                ความตอ้ งการของสงั คม หรือความตอ้ งการที่กาหนดโดยผนู้ าองคก์ ร

           2.2 นวตั กรรม ซ่ึงอาจเป็นนวตั กรรมดา้ นผลิตภณั ฑใ์ หม่ ๆ หรือวธิ ีการใหม่ ๆ ก็ได้
           2.3 ขีดความสามารถของบุคคล และขององคก์ ร
           2.4 ประสิทธิภาพในการทางาน
        3. ทดลองและการเรียนรู้ เนื่องจากกิจกรรมการจดั การความรู้เป็ นกิจกรรมท่ีสร้างสรรค์ จึงตอ้ ง
ทดลองทาเพียงนอ้ ย ๆ ซ่ึงถา้ ลม้ เหลวกก็ ่อผลเสียหายไม่มากนกั ถา้ ไดผ้ ลไม่ดีก็ยกเลิกความคิดน้นั ถา้ ไดผ้ ลดี
จึงขยายการทดลอง คือ ปฏิบตั ิมากข้ึน จนในที่สุดขยายเป็ นวธิ ีทางานแบบใหม่ หรือท่ีเรียกว่า ไดว้ ธิ ีการ
ปฏิบตั ิที่ส่งผลเป็นเลิศ (Best Practice) ใหมน่ น่ั เอง
        4. นาเข้าความรู้จากภายนอกอย่างเหมาะสม โดยตอ้ งถือวา่ ความรู้จากภายนอกยงั เป็ นความรู้ที่
“ดิบ” อยู่ ตอ้ งเอามาทาให้ “สุก” ใหพ้ ร้อมใชต้ ามสภาพของเรา โดยการเติมความรู้ที่มีตามสภาพของเราลงไป
จึงจะเกิดความรู้ท่ีเหมาะสมกบั ท่ีเราตอ้ งการใช้
   138   139   140   141   142   143   144   145   146   147   148