Page 52 - การวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฎในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา
P. 52

๓๘


                                          ื่
                       หักร้างถางพงที่รกชัฏเพอท าถนนหนทางให้รถชนิดอน ๆ วิ่งได้สบาย นั่น คือพยายามค้นคว้าถึงความ
                                                                  ื่
                       แท้จริงของสรรพสิ่ง หรือเรียกอกอย่างหนึ่งว่า ภววิทยา (Ontology) คือวิชาที่ศึกษาถึงความมีอยู่
                                                  ี
                       เป็นอยู่ของสรรพสิ่งในโลก ค าทั้งสองนี้บางครั้งใช้ร่วมกัน แต่ก็มีการศึกษาที่แตกต่างกัน คือ
                       อภิปรัชญาเน้นศึกษาถึงสภาวะที่ไม่อาจรู้ได้โดยประสาทสัมผัสเป็นภาวะที่อยู่เหนือประสาทสัมผัสทั้ง

                       ห้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนามธรรม เช่น เรื่องจิต มโน วิญญาณ พระเจ้า  ส่วนภววิทยาจะศึกษาถึงสิ่ง

                       ที่มีอยู่เป็นอยู่ในจักรวาลทั้งส่วนที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้ กล่าว คือภววิทยาจะศึกษาทั้งสิ่งที่เป็น
                       นามธรรมและรูปธรรม แต่ว่าโดยเนื้อหาแล้วภววิทยาจะมีความหมายกว้างกว่าอภิปรัชญา


                                 ดังนั้น ขอบเขตของอภิปรัชญาหรือภววิทยาที่จะต้องท าการค้นคว้าหาค าตอบว่า “ความ
                       แท้จริง คืออะไร” จึงมีอยู่ ๓ ประการ ดังนี้


                                 ๑) ธรรมชาติ เป็นการศึกษาถึงเรื่องธรรมชาติของสสาร กาล อวกาศ ความเป็นเหตุเป็นผล
                       ชีวิต วิวัฒนาการ ระบบจักรวาลของเอกภพ และวัตถุประสงค์ของเอกภพในเรื่องนี้ อภิปรัชญาได้ท า

                       หน้าที่ตอบปัญหาหรือศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเอกภพหรือธรรมชาติ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของอวกาศ กาล
                       สสาร ความเป็นเหตุและผล ชีวิต วิวัฒนาการ ความเป็นไปแบบเครื่องจักรกลของเอกภพ และความ

                                                ื่
                       เป็นไปแบบมีวัตถุประสงค์ เพอจะหาค าตอบว่า สรรพสิ่งหรือสิ่งเหล่านี้ มีความเป็นมาอย่างไร มี
                       ความสัมพนธ์กันอย่างไร เช่น ศึกษาหาค าตอบเกี่ยวกับกาล (เวลา) ว่ามีก าเนิดหรือบ่อเกิดอย่างไร
                               ั
                       เป็นไปโดยมีเป้าหมายหรือไม่ หรือมีเป้าหมายอย่างไร หรือใครเป็นผู้ก าหนดเวลา ใครเป็นผู้สร้างเวลา

                                                                                      ๒๔
                       เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้เรียกว่า “อภิปรัชญาว่าด้วยเอกภพ หรือธรรมชาติ”
                                 ๒) จิตหรือวิญญาณ เป็นการศึกษาถึงลักษณะ ก าเนิด จุดหมายปลายทางของวิญญาณ

                       และสัมพนธภาพระหว่างวิญญาณกับร่างกายในเรื่องนี้ อภิปรัชญาจะท าหน้าที่ค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง
                              ั
                       ธรรมชาติของวิญญาณ ก าเนิดของวิญญาณ จุดหมายปลายทางของวิญญาณ และความสัมพนธ์
                                                                                                       ั
                                                                                    ื่
                       ระหว่างวิญญาณกับร่างกาย เกี่ยวกับปัญหานี้ นักปรัชญาพยายามศึกษาเพอที่จะตอบค าถามที่ว่า จิต
                       ของมนุษย์เรานั้น คืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร มนุษย์มีอสระในการคิดในการหาค าตอบหรือไม่
                                                                         ิ
                                                                                      ี
                       หรือมนุษย์มีเสรีภาพในการตัดสินใจ และการเลือกกระท าหรือไม่ มากน้อยเพยงใด จะเป็นการศึกษา
                                                    ั
                       เพอพจารณาดูเกี่ยวกับวิญญาณ อตตา และจิต ว่าเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ หรือเป็นคนละอย่างกัน
                         ื่
                           ิ
                       เพราะนักปรัชญาแต่ละส านัก หรือแต่ละคนจะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องจิตหรือวิญญาณนี้แตกต่างกันปัญหา
                       เกี่ยวกับเรื่องจิต หรือวิญญาณ เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน ตั้งแต่นักปรัชญาสมัยโบราณ จนกระทั่ง







                                 ๒๔ มานพ นักการเรียน, มนุษย์กับการใช้เหตผล จรยธรรม และสุนทรยศาสตร, (กรุงเทพมหานคร:
                                                                                           ์
                                                                      ิ
                                                                 ุ
                                                                                    ี
                       มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๕), หน้า๓๑.
   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57