Page 11 - ประวัติศาสตร์การสงคราม
P. 11
9
ตอ่ มาเหน็ ปืนฝรั่งดี เราจึงมาใช้ปืนฝร่งั ตามลำดบั ดงั นี้
- ปืนเอ็นเฟิล ไม่มีเกลียว เป็นปืนบรรจุปาก มีนกสับ ตั้งศูนย์ได้ 100 เมตร นำมาใช้ในสมยั
รชั กาลท่ี 4
- ปืนกริช บรรจุท้ายมีซองกระสุน เป็นบานพับ เปิดปิดได้เป็นปืนชนิดนกสับ บรรจุท้าย
ทีละนดั ใชใ้ นปลาย รัชกาลท่ี 4 ตน้ รชั กาลที่ 5
- ปืนสไนเดอร์ บรรจุท้าย มีซองกระสุน เป็นบานพับ เปิดปิดได้ เป็นปืนชนิดนกสับ
บรรจทุ ลี ะนดั
- ปืนวนิ เชสเตอรเ์ ปน็ ปนื ท่มี ีเคร่ืองกลไกจุกจกิ บรรจไุ ดค้ ราวละ 12 นัด
- ปืนมาตินี่เฮนรี่ ใช้ที่กรมทหารเรือก่อน เครื่องบรรจุเป็นบานพับสะพานหักลงล่าง
เมอ่ื ร.ศ. 105 ทัพบกจงึ ตกลงใจนำกลับมาใชบ้ า้ ง
- ปืนมัลลเี ดอร์ มศี ูนยย์ ิง 2,500 เมตร บรรจุกระสุนได้ 5 นดั
- ปืนเมาเซอร์ มลี กู เลื่อนกระสนุ ได้คราวละ 1 นัด เป็นปืนเยอรมัน
- ปืน ร.ศ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 สั่งซื้อจากเดนมาร์ค เมื่อ พ.ศ. 1444
จำนวน 4 กระบอก เพื่อเอามาเป็นตัวอย่างและเมื่อทดลองใช้ดูมีประสิทธิภาพดีจึงทรงซื้อมาใช้ในกองทัพ
เมอื่ ร.ศ.121 เรียกกันท่วั ไปว่าปนื ร.ศ. แตต่ อ่ มาทางราชการได้ตัง้ ชอ่ื วา่ ปนื เล็ก ยาวแบบ 44 เหตุท่ีเรียกกันว่า
ปนื ร.ศ. เพราะนำมาใชใ้ นสมยั ท่ีไทยยงั ใช้ รตั นโกสนิ ทร์ศก อยู่
- ต่อมาเปน็ ปนื เลก็ ยาวแบบ 66
- ต่อมาเปน็ ปืนส้นั บรรจเุ อง แบบ 87
- ต่อมาเป็นปืนเล็กยาวบรรจุเอง แบบ 88
- ตอ่ มาเป็น M. 16, HK 33
หลักการสงครามของไทย
หลกั การสงครามของไทยทีป่ รากฏในเอกสารทางราชการต่อมา เท่าที่รวบรวมไดแ้ บ่งออกเป็น 3 สมัย คอื
- สมยั พลเอกสมเดจ็ เจ้าฟา้ กรมหลวงพิษณโุ ลกประชานาถ
- หลกั การสงครามของไทยสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว
- ภายหลงั สงครามโลกครั้งท่ี 2
1. สมัยพลเอกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงได้เรียบเรียงไว้ใน “หัวข้อยุทธวิธี
ทั่วไป” ระหว่าง พ.ศ.2457-2458 ขณะทรงดำรงตำแหนง่ เสนาธิการทหารบก ได้กล่าวถึงหลักการสงครามวา่
มหี ลกั ใหญ่อยู่ 2 ประการ คอื “หลักการออมกำลัง” กบั “หลกั ทำการเป็นอสิ ระ”
1.1 หลักการออมกำลัง หมายถงึ การถนอมกำลังกบั การใชก้ ำลังในทางท่ถี ูก ซง่ึ วิธีการทจ่ี ะให้ได้มา
ซ่ึงหลกั การออมกำลังน้ัน จะต้อง
(1) มกี ารรวมกำลัง
(2) มยี ทุ ธวินยั (ทำการอย่างมรี ะเบยี บ ใชค้ วามคดิ และความรบั ผดิ ชอบ)

