Page 12 - version 4.2
P. 12
การศึกษาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของการรักษาผู้ป่วยมาลาเรียชนิดไวแวกซ์ขั้นหายขาดอย่างเหมาะสม ฉบับที่ 4.2 วันที่ วันที่ 08 มีนาคม 2564
ด้วยยาทาฟีโนควินหรือไพรมาควินโดยใช้การตรวจวัดระดับเอนไซม์ G6PD เชิงปริมาณ ประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม หากพบกรณีดังกล่าว เราจะรายงานผลแยกต่างหากจากผู้ป่วยอื่นของ
โครงการฯ ข้อมูล ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์สำหรับการวางแผนหากจะนำยา Tafenoquine
มาใช้ทั่วประเทศ
กรณีผู้ป่วยขอถอนตัวออกจากการศึกษา สามารถกระทำได้ และผู้วิจัยจะไม่นำข้อมูล
ของผู้ป่วยมารวมในการศึกษา อย่างไรก็ตาม กรณีผู้ป่วยรับประทานยา Tafenoquine
ไปแล้ว ยังจำเป็นต้องมีการติดตามผู้ป่วย โดยแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานมาลาเรีย
(หน่วยควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลงและศูนย์ควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลง) ในพื้นที่
เพื่อสอบถามอาการข้างเคียง ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก
*ซึ่งผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องรับการดูแลเป็นกรณีพิเศษจากแพทย์ตามแนวเวชปฏิบัติในการรักษา
ผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรีย พ.ศ. 2562 อยู่แล้ว และมักต้องส่งต่อไปยังสถานบริการสาธารณสุขระดับสูงกว่า
นอกพื้นที่ศึกษา
หลักเกณฑ์การ เนื่องจากโครงการนี้ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
รับเจ้าหน้าที่ ดังนั้นนอกจากผู้ป่วย ยังต้องมีกลุ่มเจ้าหน้าที่สถานบริการสาธารณสุข เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้า
ของสถาน ร่วมโครงการฯ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ ก็ถือเป็นตัวแปร ซึ่งจะร่วมบ่งชี้ผลของโครงการฯ ด้วย
บริการ ระดับโรงพยาบาลชุมชน:
สาธารณสุขเข้า 1. เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล
ร่วมในโครงการ - นักเทคนิคการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือเจ้าพนักงานวิทยาศาสตร์
ประจำที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศึกษาของโครงการนี้
- ทำหน้าที่ตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ รวมทั้งการวินิจฉัยมาลาเรีย
- เป็นผู้รับผิดชอบการตรวจเอนไซม์ G6PD เชิงปริมาณ ด้วยเครื่อง STANDARD™
G6PD test (SD Biosensor, Inc. สาธารณรัฐเกาหลี)
มีความเต็มใจเข้ารับการอบรมสำหรับโครงการนี้ ซึ่งจัดโดยกองโรคติดต่อนำโดย
แมลง
2. แพทย ์
- แพทย์เวชปฏิบัติที่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ ของแพทยสภาของประเทศไทย
และประจำที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ศึกษาของโครงการนี้
- รับผิดชอบในการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาล รวมทั้งผู้ป่วย
มาลาเรีย
หน้าที่ 12 จาก 63

