Page 49 - นาวิกศาสตร์ เดือน ตุลาคม ๒๕๕๔
P. 49
ฝ่ายพม่าสำเร็จกิจเพียงข้อเดียวคือ การทำนา พอตกเข้ามาอยู่ในพื้นที่ซุ่มหรือพื้นที่สังหาร ถูกตี
สะสมเสบียงของกองทัพพระมหาอุปราชา ส่วนกิจ โต้ตอบโดยฉับพลันจึงตกใจ แม้จะมีฝีมือ ในภาวะ
ขัดขวางรบกวน การทำนา ทำไร่ ของฝ่ายไทย โดย เช่นนั้นก็รบไม่เป็นรูปขบวนแล้ว อาศัยแต่เพลงดาบ
กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่นั้นล้มเหลวและสูญเสีย เพลงหอก สู้แบบตัวใครตัวมัน จึงแพ้แบบแตกทัพ
่
็
ั
ี
่
่
กำลังพล ทั้งพลทหารและระดับแม่ทัพ นายกอง ไมเปนทา จนสญเสยแมทพ นายกองจำนวนมากมาย
ู
ไปเป็นอันมาก ตลอดจนอาวุธยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ แสดงว่าเป็นการรบแบบตะลุมบอน ที่อาศัยฝีมือดาบ
อีกมากมาย รวมทั้งช้างศึกหลายสิบเชือก (เหมือน อาวุธสั้นชนิดที่ใครดีใครอยู่ การขัดคำสั่งแบบเบา ๆ
สูญเสียกองทัพรถถังในปัจจุบัน) ของพระราชมนูก็กลายเป็นผลดีเหมือนกัน แต่ศึก
ฝ่ายไทย ศึกครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ ที่กองทัพไทย ครั้งนี้ท่านไม่ได้ความดีความชอบ เพียงทำความดี
ต้องรบกับกองทัพพม่าในผืนแผ่นดินไทย หลังจาก ลบความผิด เอาตัวรอดได้ ม้าดีก็ย่อมมีพยศบ้าง
สมเด็จพระนเรศวร ทรงประกาศเอกราช เมื่อปี เป็นธรรมดา
พ.ศ.๒๑๒๗ การรบระหว่างทัพหน้าของทั้งสองฝ่าย
มีโชคช่วยฝ่ายไทย ที่ผมมองว่ามีโชคช่วยฝ่ายไทย ศึกเจ้ายุทธจักร
ดังนี้ ถ้าพระราชมนู ถอยทัพตามคำสั่งครั้งแรก “เจ้ายุทธจักรมาเอง”
ทหารพม่าที่รุกไล่ตามลงมาก็เพียงทัพหน้าเท่านั้น สงครามครั้งที่ ๓ ที่ทัพพม่าบุกเข้ามาจะทำลาย
ทัพหลวงของพระเจ้าเชียงใหม่ ยังยกตามมาไม่ทัน กรุงศรีอยุธยา ครั้งนี้เป็นทัพกษัตริย์ เจ้ายุทธภพมาเอง
เมื่อกองทัพหน้าตกเข้าที่ซุ่มโจมตีถูกล้อมตี ทัพหน้า อย่านึกว่าพระเจ้านันทบุเรง เป็นนักรบโนเนม พระองค์
เชียงใหม่แตกแน่ ๆ แต่ทัพหลวงคงจะไม่เป็นไร หรือ เป็นนักรบปั้นของพระเจ้าบุเรงนองผู้พ่อ มีความ
ถ้าทัพหลวงของพระเจ้าเชียงใหม่ ยกตามลงมาช่วย เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ทุกชนิด เรียนรู้
รบทันท่วงที แม้ในที่สุดพม่าแพ้ แต่ก็คงไม่สูญเสีย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จากพ่อมาเต็มเพียบ ชนิดดังแจ้ง
อย่างมาก โดยหลักการรบ ถ้าเข้าตีปะทะ รบกันไป แล้วในตำรา แต่ตอนเอาออกมาใช้ค่อยว่ากันอีกที นักรบ
พอเห็นว่าจะชนะไม่ได้ หรือสู้ไม่ได้ก็จะถอยทัพฉาก เรียนตำราเล่มเดียวกันโรงเรียนเดียวกัน จบออกมาแล้ว
หลบออกมา แม้อาจสูญเสียบ้างแต่ก็คงไม่ถึงขั้น ฝีมือรบก็ไม่เท่ากัน เพราะการสงคราม เป็นทั้ง “ศาสตร
์
แตกทัพ ห้วงเวลาช่วงที่ข้าหลวงคนแรกนำคำกราบ และ ศิลป์”
บังคมทูลของพระราชมนูกลับมาทูลเกล้า ฯ สมเด็จ นักรบปั้น พระเจ้าบุเรงนอง นำเอาลูกชายคนโต
พระนเรศวรว่า พระราชมนูไม่ยอมถอยทัพตามรับสั่ง ร่วมออกศึกตั้งแต่อายุไม่ถึง ๑๐ ขวบ ตั้งแต่พระองค์
เพราะศึกกำลังติดพัน เกรงว่าถ้าถอยแล้วเกรงจะ ยังเป็นแค่แม่ทัพของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ เพื่อให้
แตกพ่าย (คือถอยแบบหันหลังหนี) ถึง ๒ เที่ยว ลูกชายคนโตมังไชยสิงห์ ที่เกิดจากพระมเหสีใหญ่
รวมกับห้วงเวลาที่ให้จหมื่นทิพรักษา นำคำสั่งถอยทัพ พี่สาวของพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ได้รับการฝึกปรือให้ม ี
กลับขึ้นไปถึงพระราชมนูอีกครั้ง ไม่ทราบว่าใช้เวลา ความรู้ความชำนาญในการศึก จะได้เป็นเจ้ายุทธจักร
เท่าใด กี่นาที กี่ชั่วโมง แต่ก็เป็นห้วงเวลาพอเพียงที่ สืบต่อจากพ่อไปในภายหน้า ชนิดศิษย์เอกสอน
ทำให้กองทัพหลวงของพระเจ้าเชียงใหม่ยกมาถึง กันตัวต่อตัว ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ ดังนั้น
ทัพหน้าของตน และเพราะไม่ได้ทำการสู้รบด้วย ในวงการพม่า ประวัติศาสตร์พม่าที่เขาจดบันทึกเอาไว ้
ตนเอง จึงไม่รู้ระดับการรบต้านทานของฝ่ายไทยว่า เองก็ยอมรับว่า ฝีมือ และหัวใจร้ายกาจทัดเทียมกับ
เข้มแข็ง รุนแรง หรืออ่อน แค่ไหน พอมาถึงเห็น พ่อ เมื่อขึ้นครองแผ่นดินจึงสามารถปราบปรามผู้ตั้ง
ทหารไทยถอยนึกว่าไทยแพ้จริง ๆ ก็เลยเฮโลร่วมเข้า แข็งเมืองเป็นกบฎลงได้ทุกรายไป นับเป็นเจ้ายุทธภพ
รุกไล่ทันที ทำให้ไม่เป็นรูปขบวนทัพ ควบคุมไม่ได้ องค์หนึ่งในภูมิภาคอุษาคเนย์ ในศตวรรษนั้น
นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๔ ฉบับที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ๐47

