Page 50 - นาวิกศาสตร์ เดือน ตุลาคม ๒๕๕๔
P. 50
ได้อย่างเต็มภาคภูมิทีเดียว เช่น ปราบกบฏพระเจ้า แผนป้องกันพระนคร
อังวะ ผู้เป็นเขย ทำยุทธหัตถีชนะพระเจ้าอังวะ เป็นต้น เมื่อประมาณสถานการณ์ว่าจะมีศึกใหญ่มาติด
แต่เมื่อเสือพบสิงห์ ก็ต้องมีผู้แพ้ ผู้ชนะ ใครจะแพ้ เมืองในแล้งหน้า จึงต้องเตรียมการป้องกันพระนคร
ใครจะชนะ ต้องตามดูกันต่อไป พม่ามีกำลังทัพ หรือศักยภาพในการทำสงครามสูงกว่า
สงครามครั้งนี้นับว่าสำคัญมาก จะมีผลต่อการ ไทยหลายเท่า แผนรับศึกสู้ศึกของสมเด็จพระนเรศวร
เสียเอกราชของชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไทยสู้ไม่ได้ ศิษย์เก่า บุเรงนอง จะเอาความรู้ในการทำศึกสงคราม
หรือไม่รู้วิธีสู้ที่เหมาะสม เพราะพม่าทุ่มกำลังลงมา จากพม่าผู้พ่อ กลับไปใช้กับพม่าผู้ลูก ยุทธศาสตร์
เต็มที่ ชนิดต้องการเอากรุงศรีอยุธยากลับไปเป็น การต่อสู้ครั้งนี้คือ “การตั้งรับในเมือง” ใช้จุดแข็งของ
เมืองขึ้นให้ได้ เป็นศึกหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยาที่มีกำแพงเมืองแข็งแรง มีแม่น้ำใหญ่
กรุงศรีอยุธยา ครั้งนี้สมเด็จพระนเรศวร เป็นผู้นำทัพ เป็นคูเมือง ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
สู้ศึกพม่า พระองค์ท่านต้องเอาพระองค์เองทุ่มเต็มตัว จากย่ำอดีต โดยเชาว์ รูปเทวินทร์ และการเมืองไทย
ชนิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ถึงขนาดพระเจ้านันทบุเรง สมัยสมเด็จพระนเรศวร โดย ชาดา นนทวัฒน์ กล่าวถึง
ยังออกพระโอษฐ์ว่า สมเด็จพระนเรศวร ยอม “เอาพิมเสน แผนป้องกันพระนครของไทย สมเด็จ ฯ กรมพระยา
แลกเกลือ” เพื่อป้องกันบ้านเมืองและเอกราชให้ ดำรงราชานุภาพ ทรงบรรยายแผนป้องกันพระนคร
คนไทยทั้งผอง เพราะเจ้านายกล้าหาญ กล้าเสี่ยงตาย ในปี พ.ศ.๒๑๒๙ นั้นไว้อย่างละเอียด ผมขอสรุป
ลูกน้องทุกคนจึงกล้าตามในเมื่อคนไทยทุกคนรบโดย แผนป้องกันพระนคร ๓ ขั้น ของสมเด็จพระนเรศวร ดังนี้
ไม่กลัวตาย คน ๑ คน จึงสู้คน ๑๐ คนได้ ทัพพม่า สะสมเสบียงอาหาร และอาวุธยุทธภัณฑ์
จำนวน ๓ - ๕ แสนคนก็ไม่หวั่นไหว ข้าจะสู้เสียอย่าง ให้ระดมออกไปตั้งกองทำนาในทุกตำบลในหัวเมือง
เอ็งจะทำอะไรได้ ต่าง ๆ รอบกรุงตั้งแต่เข้าฤดูฝน แล้วแต่งกองอาสา
(หน่วยรบ) ออกไปตรวจตรามิให้ใครเข้ามาทำร้ายได้
เตรียมรับศึกกษัตริย์ พอได้ข่าวพระเจ้ากรุงหงสาวดีเคลื่อนทัพใหญ่พุ่งเข้า
หลังจากตีทัพพม่าที่พยายามยกเข้ามาจะเอาไทย ไทย เป็นเวลาที่ข้าวกำลังออกรวงเหลืองอร่ามพอดี
เป็นเมืองขึ้นอีกครั้งแตกพ่ายกลับไป ๒ - ๓ ครั้ง แล้ว ท่านก็ให้รีบเก็บเกี่ยวเอามาขึ้นยุ้งไว้ในกรุง ที่เอาไม่ทัน
เป็นศึกขนาดกำลังค่อนแสน และแสนเศษ แค่ระดับ ก็ให้ทำลายเสีย มิให้เป็นประโยชน์ของข้าศึก
แม่ทัพหัวเมือง เป็นนายทัพคุมมามิใช่กษัตริย์ ฝ่ายไทย นักการทหาร นักการข่าว อ่านมาถึงตอนนี้คงจะ
สมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระนเรศวร เข้าใจได้ว่า ระบบการข่าวของสมเด็จพระนเรศวรนั้น
น่าจะประมาณสถานการณ์ได้ว่า คงจะต้องมีทัพ มีประสิทธิภาพมาก แหล่งข่าวต่าง ๆ น่าจะได้จากคนไทย
ขนาดใหญ่ เป็นทัพกษัตริย์ ที่พระเจ้านันทบุเรงคุมเอง อยุธยาที่ยังตกค้างอยู่ในกรุงหงสาวดี และคนมอญ
ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา อย่างแน่นอน นโยบาย คนมอญส่วนใหญ่เกลียดชังพม่าที่มายึดเมืองหงสาวด ี
ของพม่า จะต้องพยายามเอากรุงศรีอยุธยากลับไป ของตน แล้วมาเป็นนายกดขี่ตน แต่ระบบการส่งข่าว
เป็นเมืองขึ้นของกรุงหงสาวดีเหมือนก่อนให้ได้ ไม่ทราบว่าใช้ม้าเร็ว (คนข่าวขี่ม้า) หรือนกพิราบ
เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรพม่าหงสาวดี ถ้าทำ (มีใช้นกพิราบส่งข่าวแล้วหรือยังในยุคสมัยนั้นไม่
ไม่สำเร็จ อาณาจักรพม่าหงสาวดี ในยุคพระเจ้านันทบุเรง ทราบได้) การส่งข่าวด้วยม้าเร็วจากหงสาวดีถึงอยุธยา
ย่อมจะถึงยุคเสื่อมถอยแน่นอน หัวเมืองขึ้นต่าง ๆ คงใช้เวลาประมาณ ๑๐ - ๑๕ วัน โดยเดินทางทั้ง
ทั้งยะไข่ ไทยใหญ่ ที่เป็นชนต่างเผ่าพันธุ์กับพม่า กลางวันกลางคืนต้องมีม้าเปลี่ยน หรือมีคนส่งข่าว
ต่างก็จ้องหาโอกาสแยกตัวเป็นอิสระอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รับช่วงเป็นระยะ ๆ
ไม่มีชาติใดอยากเป็นข้าชาติอื่น การเตรียมเสบียง พระราชพงศาวดาร กล่าวไว้
๐48 นาวิกศาสตร์ ปีที่ ๙๔ ฉบับที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔

