Page 52 - นาวิกศาสตร์ เดือน ตุลาคม ๒๕๕๔
P. 52

ตุนเสบียงในแผ่นดินไทยไว้ฤดูกาลหนึ่งแล้ว เชื่อมั่น  บรรจบทัพหลวงที่อยุธยา


            ว่าสงครามครั้งนี้จะไม่มีคำว่าเสบียงอาหารขาดแคลน    ทัพพระเจ้าตองอู เดินทัพทางบกเลียบอยู่ทาง
            วางแผนศึกสงครามแรมปีกันเลย มองเห็นชัยชนะ       ด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
            อยู่รำไร                                         ทัพหลวง เดินทัพทางบกอยู่ทางตะวันตกของ
              พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง สั่งจัดทัพกษัตริย์ถึง  แม่น้ำเจ้าพระยา  ๒ ทัพเดินมาพร้อม  ๆ กัน เมื่อมา
            ๔ ทัพ เป็นกองทัพที่มีเจ้าเมืองที่มีฐานะสวมมงกุฎ  ถึงอยุธยาแล้ว ทั้ง ๓ ทัพ ตั้งล้อมกรุงอยู่ทางด้านเหนือ
            คุมมาเอง คือ                                   และด้านตะวันออก เพียง ๒ ด้าน เพราะเห็นว่าจะตี

              ทัพพระเจ้ากรุงหงสาวดี เป็นทัพหลวง            พระนครโดยง่าย ทัพพม่าถึงอยุธยาเมื่อวันพฤหัสบดี
              ทัพพระมหาอุปราชา มังกะยอชวา เป็นทัพหน้า      ขึ้น ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีจอ พ.ศ.๒๑๒๙ นั้น ในจำนวน
              ทัพพระเจ้าตองอู เป็นทัพหนุน                  แม่ทัพคราวนี้อย่างน้อยมีจอมทัพคือ พระเจ้านันทบุเรง



              ทัพพระเจ้าเชียงใหม่  กำลัง  ๑๐๐,๐๐๐  คน  เคยเป็นแม่ทัพหน้ายกมาตีกรุงศรีอยุธยา  เมื่อ
            ทำหน้าที่ส่งกำลังบำรุง  ขนเสบียงให้กองทัพ   พ.ศ.๒๑๑๑ - ๒๑๑๒ ในหมู่กองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง
            ข้างต้น                                        ผู้บิดา จนกรุงศรีอยุธยาแตก ดังนั้นพระองค์จึงมอง
              พม่าว่าเป็นการลงโทษ เพราะมาแพ้ไทย ๒ ครั้ง    ภาพ และรู้จักพื้นที่ภูมิประเทศกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างดี
              รวมกำลังเฉพาะกองทัพทั้ง  ๓ (ไม่รวมทัพ        ครั้งนั้นพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชา
            เชียงใหม่) หลักฐานทางฝ่ายไทยว่าพม่ามีกำลังพล  ๑๗ ปีต่อมา พระองค์คุมหมู่กองทัพมาในตำแหน่ง
            ๒๕๐,๐๐๐ แต่ประวัติศาสตร์ของพม่าว่ามีกำลังถึง  จอมทัพ จะมาเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นเหมือน
            ๕๐๐,๐๐๐ คน อย่าเพิ่งตกใจ  ปี พ.ศ.๒๑๒๙ พม่า     ครั้งที่มากับพ่อ ยกทัพมามีจำนวนพลใกล้เคียงกับ
            ยังอยู่ในยุครุ่งเรือง พระเจ้าบุเรงนอง เพิ่งสวรรคตไป  พ่อ กำลังพลของกรุงศรีอยุธยา คราวนี้มีจำนวนน้อย

            เพียง ๕ ปี หัวเมืองขึ้นยังมีอยู่มาก สามารถเกณฑ์  กว่าสมัยพ่อมาก พระเจ้านันทบุเรง ทราบถึงสถานภาพ
            ทัพมารบได้หลายแสนคน                            และศักยภาพในการทำสงครามของกรุงศรีอยุธยาดีว่า
                                                           พ่อตนเองได้ทำลายศักยภาพการทำสงครามของกรุง
            พม่าเคลื่อนทัพ                                 ศรีอยุธยาไปจนแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว มาคราวนี้
              พอสิ้นฤดูฝน เดือน ๑๒ (พฤศจิกายน) ปีจอ  จึงหวังว่าจะต้องชนะ เอากรุงศรีอยุธยา กลับมาเป็น

            พ.ศ.๒๑๒๙  ก็ยกทัพเข้าสู่ประเทศไทยทางด่าน  เมืองขึ้นได้อีก  เพื่อผลประโยชน์คือความมั่นคง
            แม่ละเมา บางกองทัพเข้ามาอยู่ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๑๒๘  สถาพรของราชอาณาจักรพม่าหงสาวดี ถ้าปราบอยุธยา

            แล้ว เช่น ทัพพระมหาอุปราชา ๕๐,๐๐๐ คน อยู่ที่   เอาเป็นเมืองขึ้นไม่ได้ หัวเมืองออกน้อยใหญ่ที่เป็น
            กำแพงเพชร ทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ๑๐๐,๐๐๐ ก็อยู่   คนต่างเผ่าพันธุ์ก็คงจะทยอยแข็งเมือง จนราชอาณาจักร
            บริเวณกำแพงเพชร  กองทัพทั้ง  ๔  ทัพ  มาตั้ง    หงสาวดีอ่อนแอ ในที่สุดก็อาจจะเกิดการแย่งอำนาจ
            ประชุมพลขั้นต้น ที่กำแพงเพชร                   กันในราชวงศ์บุเรงนอง  แย่งกันเป็นหมายเลข  ๑

              จากกำแพงเพชร  พม่าเดินทัพสู่ทุ่งอยุธยา   ต่อไป พระเจ้านันทบุเรง ตั้งเป้าประสงค์มาเช่นนี้
            ได้สะดวกทั้งทางบก  และทางน้ำ  ตั้งแต่เดือนอ้าย   เพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักรพม่าหงสาวดี



            ถึงเดือนยี่ปีจอ  พ.ศ.๒๑๒๙  พม่าเดินทัพจาก      และเพื่อความมั่นคงในราชบัลลังก์ของตนเอง
            กำแพงเพชร สู่อยุธยาโดยแยกการเดินทางทัพ ดังนี้   “ข้าต้องเอาเอ็งกลับมาเป็นเมืองขึ้นให้ได้”
              ทัพพระมหาอุปราชา ทัพหน้าเดินทัพทางบก           แต่องค์บุคคลของกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๒๑๒๙
            ทางฝั่งตะวันออกของแม่ปิงและเจ้าพระยา  เมื่อถึง  ไม่เหมือนกับปี พ.ศ.๒๑๑๑ - ๒๑๑๒ แม้จะมีกำลังน้อย
            นครสวรรค์  แยกไปทางลพบุรี -  สระบุรี  ให้ไป    นักรบตาง ๆ  ส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง  ๒๐
                                                                 ่

            ๐50    นาวิกศาสตร์  ปีที่ ๙๔ ฉบับที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๔
   47   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57