Page 30 - ประวัติศาสตร์การสงคราม
P. 30
28
กำลังของพระยาศรีไสยณรงค์ไปปะทะกับข้าศึกที่ ต. ดอนเผาข้าว เมื่อเวลาเช้า 7 นาฬิกา จึงทำการต่อสู้กัน
ขา้ ศึกมจี ำนวนมากต้านทานไมไ่ หวจงึ แตกมา สมเด็จพระนเรศวรดำรัสปรกึ ษาแม่ทพั และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ว่า
ในเหตกุ ารณเ์ ชน่ น้นั ทำอย่างไรดบี รรดาแม่ทพั และนายทหารช้นั ผู้ใหญ่กราบทลู วา่ ใหส้ ่งกองหนนุ ข้ึนไปตา้ นทาน
ให้อยู่เสียกอ่ น แล้วจงึ นำกำลงั ทัพหลวงเข้าตภี ายหลงั สมเด็จพระนเรศวรไม่เหน็ ดว้ ย ดำรสั วา่ กองทัพแตกฉาน
มาอย่างนี้แล้วจะส่งกองหนุนไปช่วยอย่างไรก็ต้านทานไม่ได้ เมื่อปะทะแล้วก็พากันถอยมาดว้ ยกัน จึงรับสั่งให้
เจ้าหมื่นทิพย์เสนา จมื่นราชามาตร์ ขึ้นม้าเร็วรีบไปประกาศแก่ทหารในกองของพระยาสีไสยณรงค์ว่าไม่ต้อง
ต้านทานข้าศึก ให้ถอยไปได้ เมื่อได้รับทราบกระแสรบั สั่งแล้วต่างก็พากนั ถอยลงมาอย่างไม่เป็นระเบยี บ ฝ่าย
พมา่ เห็นฝา่ ยไทยแตกถอยลงมา เห็นไดท้ กี ็ไลต่ ดิ ตามลงมาอยา่ งไมห่ ยดุ ยัง้
การรบ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงสงบทพั หลวงจนกระท่ังเวลา 11 นาฬกิ า เห็นข้าศกึ ไลต่ ิดตามมาไม่เป็น
ขบวน สมความคาดหมาย ก็ดำรัสสั่งให้ส่งสัญญาณให้กองทัพทั้งหลายออกตีข้าศึกได้ขณะนั้นพระองค์และ
สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จขึ้นทรงพระคชาธารทัพหลวงเข้าตีโอบหน่วยนำของข้าศึกทันทีส่วน
กองทัพเท้า พระยาต่างๆได้รบั กระแสรับสั่งช้าบ้างเร็วบ้างเคลื่อนที่ไม่ทันตามเสด็จส่วนมาก มีแต่กำลังทหาร
ของพระยาสหี ราชเดโชชยั กับของพระยามหาเสนาบดีซึ่งเป็นปีกขวา ที่เคลอ่ื นทต่ี ดิ ตามทัพหลวงหรอื กำลังส่วน
ใหญ่เข้าโจมตีข้าศึกได้กำลังส่วนหน้าของข้าศึกกำลังระเริง ไล่ติดตามมาโดยประมาทมิได้คิดวา่ จะมกี ำลังของ
กองทพั ไทยไปตา้ นทานไว้ก็ปะทะกนั เสียขบวนทำใหเ้ กิดสบั สนแลว้ แตกหนเี ป็นอลหมา่ น
ในเวลานน้ั ชา้ งพระที่นงั่ ซ่งึ สมเดจ็ พระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงไปน้นั เป็นช้างชนะงากำลังตกมัน
ทง้ั สองเชือก เมอ่ื เหน็ ช้างขา้ ศกึ หันหน้าพากนั หนี กอ็ อกว่งิ ไล่ตามสมเดจ็ พระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ
เข้าไปอยู่ในกลางวงข้าศึก มีแต่พระจตุลังคบาทกับพวกทหารรักษาพระองค์ตามติดไปเท่านั้น เพราะเวลาน้ี
กำลังทำการรบกันอย่างโกลาหลฝุ่นฟุง้ ตลบจนมัวทั่วทิศ พวกแม่ทัพและผู้บังคับหน่วยต่างๆอยู่ห่าง ไม่เห็นวา่
เสด็จล่วงเลยเข้าไป แม้ขา้ ศึกเองกไ็ ม่เหน็ พระองค์ถนัด ช้างพระทน่ี ่งั ของท้ัง 2 พระองค์รุกไล่ข้าศึกไปประมาณ
1 กิโลเมตร พอฝุ่นจาง ก็ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชทรงคชาธารอยู่ใต้ร่มไมอ้ ยู่กบั เจ้าพระยาทัง้ หลาย
จึงทรงทราบวา่ ชา้ งพระท่นี ั่งของพระองคเ์ ข้าไปจนถงึ กลางกองทัพหลวงของข้าศกึ แลว้
ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรทรงพระสติม่ันไม่หวาดหวั่น ทรงเห็นทันทีว่าทางที่จะเอาชนะมีอยู่ทาง
เดยี ว คอื ต้องทำยทุ ธหตั ถี จึงทรงขบั ช้างพระท่ีน่ังตรงไปยงั หนา้ ช้างพระมหาอปุ ราชา แล้วรอ้ งตรสั ไปดว้ ยฐานะ
คุ้นเคยกันมาก่อนว่า “เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมากระทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด
กษัตรยิ ภ์ ายภาคหน้าจะชนชา้ งไดอ้ ยา่ งเราจะไมม่ ีอีกแลว้ ”
ขณะที่สมเด็จพระนเรศวรท้าชนช้างอยู่น้ัน ที่จริงเสด็จอยู่ทา่ มกลางหมู่ทหารขา้ ศึก มีแต่ช้างพระท่นี ั่ง
สองชา้ ง กับทหารรกั ษาพระองคเ์ พยี งไมก่ ค่ี น ถา้ พระมหาอปุ ราชส่ังให้พวกทหารท่ีมีอยใู่ นนน้ั รุมเขา้ รบพุ่งกเ็ ห็น
จะไม่พ้นอันตราย หากแต่พระมหาอุปราชพระทัยเป็นวิสัยกษัตริย์เหมือนกัน เมื่อได้รับฟงั คำท้าจะไม่รับก็ทรง
ละอาย จึงขับช้างพลายพัทธกอ เป็นคชาธาร ตรงเข้าชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพพระคชาธารของ
สมเด็จพระนเรศวร
ฝา่ ยเจ้าพระยาไชยานุภาพกำลงั คลง่ั นำ้ มัน เหน็ ชา้ งข้าศึกตรงออกมา ก็โถมเข้าแทงทันทีไม่ยบั ย้ัง เสียที
พลายพัทธกอได้ลา่ งแบกรุนเอาเจ้าพระยาไชยานุภาพเบนจะไปขวางตัวพระมหาอุปราชาได้ทฟี ันด้วยพระแสง

