Page 131 - การวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฎในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา
P. 131

๑๑๐


                                 “ข้าแต่พระนาคเสนผู้เป็นเจ้า  ไฉนเล่านามธรรมอย่างเดียวจึงไม่ปฏิสนธิ รูปธรรมอย่าง
                       เดียวก็ไม่ปฏิสนธิ”


                                 พระนาคเสนถวายพระพรว่า
                                 “รูปธรรมนามธรรม ๒ ประการนี้ อาศัยแก่กัน บังเกิดด้วยกันใช่แต่จะให้ปฏิสนธิแต่

                       นามธรรมสิ่งเดียวหามิได้”

                                 พระนาคเสนได้อุปมาถึงสภาวะรูปนามให้พระยามิลินท์ฟังว่า

                                 “เหมือนอย่างว่า ถ้ากลละของแม่ไก่ไม่มี ฟองของแม่ไก่ก็ไม่มี สิ่งใดเป็นกลละ สิ่งใดเป็น
                       ฟอง  ก็อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ข้อนี้ฉันใด ในนามและรูปนั้น ถ้า นามไม่มี รูปก็ไม่มีเช่นเดียวกัน สิ่งใด

                       เป็นนาม สิ่งใดเป็นรูป ก็เป็นสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ข้อนี้ได้เป็นมาแล้วสิ้นกาลยืดยาว”

                                 จากท่อนท้ายของการสนทนาถามตอบในประเด็นว่าท าไมนาม หรือรูปอย่างเดียวจึงไม่

                       ปฏิสนธิ ซึ่งก็ได้รับค าตอบตามหลักของพระพทธศาสนาอย่างชัดเจนว่า นามและรูปนั้นจะต้องอาศัย
                                                            ุ
                              ั
                                                                                    ั
                                                                   ึ้
                       กันและกนเกิดขึ้น ไม่สามารถจะแยกตัวเป็นอิสระเกิดขนได้อย่างอิสระจากกนและกันได้ดังที่ปรากฏใน
                       หลักค าสอนในพระพทธศาสนา เรื่องขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นสภาวะของรูปนามเกิดอาศัยกันและขึ้นและที่
                                        ุ
                       ส าคัญอกประการหนึ่งก็ คือหลัก ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ประการที่แสดงออกถึงหลักแห่งการอาศัยกัน
                             ี
                       และกันเกิดขึ้นของรูปและนาม จนได้รับการยอมรับว่าเป็นทฤษฎีแห่งเหตุปัจจัยในพระพทธศาสนา
                                                                                                 ุ
                       เปรียบเหมือฟองไข่กับกลละของไข่ ถ้าไม่มีกลละ ฟองไข่ก็เกิดมีไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่เป็นยอมรับว่า

                       เป็นความจริงตามหลักของธรรมชาติ

                                 ๔.๒.๓ ธัมมสันตติปัญหา

                                 ปัญหาข้อนี้ปรากฏอยู่ในมิลินทปัญหาวรรคที่ ๒ ปัญหาที่ ๑  โดยที่พระยามิลินท์ได้ถาม

                       พระนาคเสนว่า

                                 “พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดผู้หนึ่งเกิดขึ้น เขาจะเป็นผู้นั้น หรือจะเป็นผู้อื่น”

                                 พระนาคเสนได้วิชนาว่า

                                 “จะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่”

                                 จากปัญหาข้อนี้เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วจะพบ ๒ มิติ  คือ  สภาวะของรูปนามเมื่อดับลงในภพ

                                                                           ื่
                       นี้และไปเกิดในภพภูมิใหม่เขาจะเป็นคนเดิมก็ไม่ใช่ และเป็นคนอนก็ไม่ใช่ คือจะมีมิติของความปฏิเสธ
                                                                                        ั
                       โดยไม่สิ้นเชิง เป็นลักษณะของความอมความของค าตอบซึ่งจะบอกว่าจะเป็นอนเดิมก็ไม่ใช่ หรือจะ
                       เป็นสิ่งใหม่เลยก็ไม่ใช่ซึ่งแตกต่างจากปรัชญาของพราหมณ์-ฮินดู ที่ว่าบุคคลเมื่อตายจากโลกนี้แล้วก็จะ

                       เวียนว่ายตายเกิดแสวงหาที่เกิดใหม่ที่มีลักษณะแห่งความเที่ยงแท้ถาวรจนถึงเป้าหมายสูงสุดแห่งชีวิต
                       ของปัจเจกชนนั่น คือเข้าถึงความเป็นนิรันดรกับวิญญาณสากลที่เรียกว่าพรหมัน
   126   127   128   129   130   131   132   133   134   135   136