Page 137 - การวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฎในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา
P. 137
๑๑๖
“ปัญญามีลักษณะส่องให้สว่าง”
พระนาคเสนได้วิสัชนาพระยามิลินท์ต่อไปว่า
“ปัญญา เมื่อเกิดย่อมก าจัดมืด คือ อวิชชา ท าความสว่าง คือให้วิชชาเกิด ส่องแสง คือ
ั
ญาณ ท าอริยสัจทั้งหลายให้ปรากฏ แต่นั้นพระโยคาวจรย่อมเห็นด้วยปัญญาอนชอบว่า สิ่งนี้ไม่เที่ยง
สิ่งนี้เป็นทุกข์ สิ่งนี้มิใช่ตัวตน”
ในตอนท้ายของการสนทนาถามตอบระหว่างพระยามิลินท์และพระนาคเสน พระนาคเสน
ได้อปมาปัญญาเหมือนบุคคลที่ถือโคมไฟเข้าไปสู่ที่มืด ด้วยอานาจแห่งแสงไฟ ย่อมส่องสว่างให้ความ
ุ
มืดมลายหายไป ปรากฏเห็นสิ่งต่าง ๆ ภายในอย่างชัดเจน เหมือน ปัญญาย่อมก าจัดอวิชชา คือ ความ
ไม่รู้ ส่องแสง คือ ญาณ ท าอริยสัจทั้งหลายให้ปรากฏ
จากการสนทนาถามตอบในปัญหาข้อนี้ก็เป็นที่ชัดเจนว่า ปัญญา คือเป้าหมายที่ส าคัญ
ุ
ั
ุ
ที่สุดในพระพทธศาสนาที่จะต้องพฒนาให้เกิดขึ้น ในพระสูตรเราจะพบหลักธรรมของพระพทธศาสนา
ที่ปรากฏหลักธรรมว่าด้วยปัญญามากมาย โดยที่ปัญญาจะเป็นหลักธรรมข้อสุดท้ายของแต่ละหัวข้อ
ธรรม เช่น หลักไตรสิกขา ที่เริ่มด้วย ศีล ในเบื้องต้น สมาธิ ในท่ามกลาง และ ปัญญา ในที่สุด ถ้ามา
วิเคราะห์ตามหลักปรมัตถธรรม แล้ว ปัญญาก็ คือปัญญาเจตสิก ซึ่งเป็นกุศลเจตสิก ที่เรียกว่า โสภณ
ั
เจตสิกที่เกดพร้อมกบจิตที่เป็นกุศลทั้งที่เป็นโลกิยะ และโลกุตตระ คือที่เป็นกามาวจรกุศลจิต รูปาวจร
ิ
กุศลจิต อรูปาวจรกุศลจิต และโลกุตตรกุศลจิตนั่นเอง
๔.๓.๔ สติลักขณปัญหา
ปัญหาข้อนี้ปรากฏอยู่ในมิลินทปัญหาวรรคที่ ๑ ปัญหาที่ ๑๒ โดยที่พระยามิลินท์ได้ตรัส
ถามพระนาคเสนว่า“พระผู้เป็นเจ้า สติมีลักษณะอย่าง:
พระนาคเสนทูลตอบว่า
“สติมีลักษณะให้นึกได้ และมีลักษณะถือไว้”
พระยามิลินท์ ตรัสถามย้ าอีกว่า
“สติมีลักษณะให้นึกได้เป็นอย่างไร”
พระนาคเสนวิสัชนาว่า
“สติเมื่อเกิดขึ้น ย่อมให้นึกถึงธรรมที่กุศลและอกุศล มีโทษและไม่มีโทษ เลวทรามและ
ประณีต มีส่วนเปรียบด้วยของด าและของขาว และให้นึกได้ว่า ‘นี้สติปัฏฐานสี่ นี้สัมมัปธานสี่ นี้ อทธิ
ิ
ิ
บาทสี่ นี้อนทรีย์ห้า นี้พละห้า นี้โพชฌงค์เจ็ด นี้มรรคมีองค์แปดอย่างประเสริฐ นี้สมถะ นี้วิปัสสนา นี้

