Page 64 - การวิเคราะห์อภิปรัชญาที่ปรากฎในสารัตถะแห่งคัมภีร์มิลินทปัญหา
P. 64

๕๐


                       อรรถกถาจารย์รุ่นหลังต้องพยายามอธิบายความเงียบของพระพุทธเจ้า ท่านนาคารชุนอาศัยประเด็นนี้
                       เป็นจุดเริ่มแห่งพุทธปรัชญามาธยมิกะ


                                               ุ
                                 ที่กล่าวว่า พระพทธเจ้าทรงแสดงธรรมด้วยอานาจบุคลิกภาพของผู้ตรัสรู้ มากกว่าด้วย


                                                                                                       ุ
                                                                                 ่
                                                                         ุ
                       อานาจแห่งเหตุผลนั้นไม่ได้หมายความว่า ค าสอนของพระพทธเจ้า ออนเหตุผล แท้ที่จริงนั้น พทธ
                       ธรรรมมีเหตุผลสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เหตุผลนั้นไม่แจ่มแจ้งชัดเจนพอที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้ ภายหลัง
                                                                                                ุ
                       พทธปรินิพพาน พระอรรถกถาจารย์จึงรจนาอรรถกถาอธิบายเหตุผลที่ซับซ้อนของพทธธรรมใน
                        ุ
                       พระไตรปิฎก งานระดับอรรถกถา (Commentary) ไม่ว่าในศาสนาใด ถือเป็นการใช้เทคนิค วิธีการ
                       ทางปรัชญา มาอธิบายขยายความพระคัมภีร์ที่บันทึกค าสอนของศาสดาเพื่อหาเหตุผลตอบโต้ผู้วิจารณ์
                            ื่
                       และเพอหักล้าง วาทะของปรปักษ์นอกศาสนาหรือต่างนิกาย อย่างไรก็ตาม พระอรรถกถาจารย์ไม่ใช่
                                                                               ื่
                       นักปรัชญาศาสนา ทั้งนี้เพราะนัก ปรัชญาศาสนาศึกษาทุกศาสนาเพอหาระบบเหตุผลในศาสนธรรม
                       โดยไม่สนับสนุน ศาสนาใดเป็นพเศษ ในขณะที่พระอรรถกถาจารย์หรือนักศาสนศาสตร์
                                                     ิ
                                                              ิ
                                                          ิ
                       (Theologian) ศึกษาศาสนาของตนอย่างพนิจพเคราะห์ด้วยเหตุผลอย่างนักปรัชญาศาสนาก็จริง แต่
                       เพราะท่านเหล่านั้นมีศรัทธาต่อศาสนาของตนจึงใช้วิธีการทางปรัชญาปกป้อง ศาสนาของตนจากการ
                                             ื่
                       โจมตีของศาสนาหรือลัทธิอน ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพอเสนอว่า ถ้าจะหาพทธปรัชญาที่เป็นระบบ เราไม่ควร
                                                             ื่
                                                                              ุ
                                        ี
                       ศึกษาพระไตรปิฎกเพยงอย่างเดียว เพราะว่าในพระไตรปิฎกเราจะพบพุทธธรรมซึ่งเป็นทั้งศาสนธรรม
                       และแนวคิดทางปรัชญาก่อนจัดระบบ เราจะได้พทธปรัชญาที่เป็นระบบในผลงานระดับอรรถกถา ฎีกา
                                                              ุ
                                                                       ุ
                       อนฎีกา และปกรณ์วิเสส ผลงานระดับนี้นี่เองที่ท าให้เกิดพทธปรัชญาส านัก ต่าง ๆ เช่น เถรวาท ไว
                       ภาษิกะ เสาตรานติกะ มาธยมิกะ วิชญาณวาท
                                                            ๕๗
                                 ๒.๓.๑ อภิปรัชญา (Metaphysics)


                                 อภิปรัชญาเป็นปรัชญาบริสุทธิ์สาขาที่รวมศาสตร์ที่ว่าด้วยความมีอยู่ของจักรวาล เป็น
                       สาขาที่ค้นหาเรื่องสภาวะแห่งความเป็นจริง อะไรเป็นสิ่งที่เป็นจริง และอะไรเป็นสิ่งที่ได้จากสิ่งที่เป็น

                       จริง โลก คืออะไร จักรวาลมีได้อย่างไร วัตถุหรือจิตเป็นความจริง มนุษย์ คืออะไร สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่
                       เป็นปัญหาที่จะหาค าตอบได้จากอภิปรัชญา เมื่อเป็นเช่นนี้ อภิปรัชญา จึงเป็นสาขาของปรัชญาที่

                       ศึกษาถึงความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นจริง ซึ่งพยายามจะหาค าตอบจากสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่น อะไร

                                                                                               ั
                       คือจิต จิตมีจริงหรือไม่ อะไร คือพระเจ้า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ จิตกับพระเจ้ามีความสัมพนธ์ซึ่งกันและ








                                 ๕๗  Masih Y, “Introduction 11”,Religious Philosophy, (Morilal Banarasidas Delhi,1976),

                       pp. 18-19.
   59   60   61   62   63   64   65   66   67   68   69