Page 21 - โครงงาน เรื่อง การศึกษาและรวบรวมคำโบราณในสมัยอยุธยาเปรียบเทียบกับคำที่ใช้ในปัจจุบันจากละครย้อนยุค
P. 21

๑๓

                                                                                                     ี
                              ชัดคำนานๆ เสียงของคำจะหดสั้นเกิดเป็นเสียงกร่อน การลดเสียงนั้นคนเรามักจะลดเสยงกัน
                              โดย ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจเท่านั้น จึงมักจะเน้นบางเสียง บางตอน ส่วน

                              เสียงที่ไม่ได้เน้น หรือตอนที่ไม่ได้เน้น จะท าให้เสียงหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เถิด-เถอะ

                                                                                                   ่
                              อย่าเพิ่ง-อย่าเพอะ ลูก-ลุ,โละ(ใต้) ลักษณะนี้เป็นการลดเสียงหลังคำ การลดเสียงนั้นสวนใหญ่
                                                                                                        ื
                              จะพบว่ามีการลดเสียงกลางคำมากกว่าลักษณะอื่นๆ เช่น ฉันนั้น-ฉะนั้น ฉันนี้-ฉะนี้ คอ
                              ลดเสียง /น/ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าลดเสียงกลาง หรือ ลดเสียงกลางคำ ส่วนลดเสียง

                              หน้าคำนั้นมีปรากฏน้อยมาก และมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อน เช่น หรือไม่–ไหม-มะ

                              ซึ่งมีการเปลี่ยนระดับเสียงวรรณยุกต์ด้วย

                                     ๕. การเพิ่มเสียงของคำในภาษาไทย คือ การเปลี่ยนเปลี่ยนทางด้านเสียงของคำอีก

                              ลักษณะหนึ่งก็คือ การเพิ่มเสียงของคำซึ่งเป็นปรากฏการณ์โดยทั่วไปของคำในภาษาไทย

                                                                                                       ี
                              กล่าวคือ คำใดที่ออกเสียงไม่สะดวกนักมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเสียงของคำเพื่อให้ออกเสยง
                              ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น โดยเฉพาะคำที่มี ๒ พยางค์ขึ้นไปและพยางค์หน้ามีเสียงพยัญชนะ

                                          ิ
                              อุบ อโฆษะ สถิล ฐานกรณ์เพดานอ่อน เช่น /ก/ การออกเสียงอยู่กลางคำของพยัญชนะ
                              ประเภทนี้ลำบาก ออกเสียงบาก ฉะนั้นเวลาพูดคนมักจะออกเสียงต่อเนื่องกัน คือแทรกเสยง
                                                                                                       ี
                              กะ กลางคำ เช่น ตกใจ – ตกกะใจ ตุ๊กตา – ตุ๊กกะตา นกยาง – นกกะยาง ลูกตา – ลูกกะตา

                              เป็นต้น ลักษณะเช่นตัวอย่างที่ยกมานั้นจะเห็นว่าขณะที่ออกเสียงนั้นมีเสียงกลางเพิ่มขึ้นมา

                              ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเสียงของคำทเรียกว่า “การเพิ่มเสียงของคำ” แต่ความหมาย
                                                                   ี่
                              ของคำเหล่านั้นหาได้มีการเปลี่ยนแปลงไม่ ส่วนคำที่เป็นพยางค์เดียว ขณะที่ออกเสียงจะมี

                              ความรู้สึกว่าเสียงห้วนไป สั้นไป จึงมีการเติมหน่วยคำที่ไม่มีความหมายลงไปข้างหน้า

                                                          ่
                                                                                                   ้
                              คำคล้ายๆ กับการเติมอุปสรรคแตเป็นอุปสรรคไม่ได้หรือจัด อยู่ในกลุ่มอุปสรรคไม่ได เพราะ
                              คำที่ไม่มีความหมายเหล่านี้เมื่อเติมอยู่หน้าคำนั้นไม่ได้แสดงความหมายใด ๆ หรือช่วยให้

                              คำเดิมนั้นมีหน้าทในประโยคเปลยนไป ฉะนั้นจะจัดอยู่ในพวกคำอุปสรรคจงไม่น่าจะถูกตอง
                                                                                           ึ
                                                                                                       ้
                                            ี่
                                                         ี่
                              ตัวอย่างเช่น โดด – กะโดด, กระโดด เดี๋ยว – ประเดี๋ยว โจน – กะโจน, กระโจน เอว –
                              กะเอว, กระเอว กา – อีกา เก้ง – อีเก้ง ฯลฯ สังเกตได้ว่าคำเหล่านี้ก่อนเติมเสียงหน้า และ

                                   ิ
                              เมื่อเตมเสียงหน้า (หน่วยคำที่ไม่มีความหมาย) ความหมายของคำ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ
                              และหน้าที่ของคำตามไวยากรณ์  ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น ฉะนั้นลกษณะเชนนี้จง
                                                                                                         ึ
                                                                                                     ่
                                                                                             ั
                                                                                                        ื
                              จัดอยู่ในการเพิ่มเสียงของคำ ชนิดการเพิ่มเสียงหน้าคำ การเพิ่มเสียงยังมีอีกลักษณะหนึ่ง คอ
                              เพิ่มหน่วยคำที่ไม่มีความหมายลงไปท้ายคำ เพื่อสะดวกในการออกเสียงและเพื่อคล้องจอง

                              (บางกรณี) ซึ่งนักไวยากรณ์ไทยมักจะเรียกคำประเภทนี้ว่า “คำอุทานเสริมบท หรือ คำอุทาน
   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26